หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๒๖)
ในฉบับที่แล้ว
สิ่งที่ผู้เขียนได้ฝากไว้มีอยู่ ๒ - ๓ ประเด็นที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ประเด็นที่ ๑
การให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามพันธกิจ ๗ ขั้นตอน การสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่รักด้านวิชาการ
การประสานความร่วมมือกับนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด
ในการทำงานศึกษาค้นคว้าหลักฐานธรรมกายประเด็นที่ ๒
เรื่องของการจัดหาอาคารเพื่อสถาปนาเป็นสถาบันวิจัยทางพระพุทธศาสนา (Buddhist
Research Institute) เพื่อรองรับภารกิจการค้นคว้าและปริวรรตคัมภีร์พุทธโบราณ
ตลอดจนใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมนักวิจัยที่มีคุณภาพในระดับอุดมศึกษาขั้นสูง
เพื่อทำงานสืบค้นหลักฐานธรรมกายจากทั่วโลกให้สำเร็จ
ซึ่งก็เป็นภารกิจที่สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัยได้ดำเนินการเป็นเวลามากกว่า ๑๗
ปีมาแล้ว และประเด็นสำคัญมากคือ
การผนวกภารกิจทั้งหมดที่กล่าวมานี้เพื่อร่วมฉลองครบ ๑๐๐ ปี
แห่งการค้นพบวิชชาธรรมกายในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ (ตรงกับวันอังคารที่ ๕ กันยายน
พุทธศักราช ๒๕๖๐) ที่จะถึงนี้
อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงไว้ในฉบับที่แล้ว
ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการทำงานสืบค้นหลักฐานธรรมกายของสถาบันวิจัย นานาชาติธรรมชัย (DIRI)
โดยตรงก็คือ ประเด็นที่ผู้เขียนนำเสนอว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายนั้น คือ “ต้นแบบของนักวิจัย”
ทางพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
ซึ่งได้ทำงานสืบค้นหลักฐานธรรมกายมาจนตลอดชีวิตของท่าน
โดยที่ท่านได้ใช้กระบวนการศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธมาอย่างครบถ้วน
ท่านก็ยังคงหมั่น “สอบทาน” และ
“สอดส่องธรรม” ทบทวนความรู้ในวิชชาธรรมกายของท่านมาอย่างต่อเนื่องตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตทีเดียว
ดังที่เราทราบกันมาโดยตลอดว่า การค้นพบวิชชาธรรมกายของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
นั้น มิได้เริ่มต้นจากการบรรลุธรรมในคืนวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐
ในกลางพรรษาที่ ๑๒ ที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียงจ.นนทบุรี เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วจะต้องย้อนไปตั้งแต่ช่วงแรกที่ท่านบรรพชาอุปสมบทที่วัดสองพี่น้อง
จ.สุพรรณบุรีเลยทีเดียว
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะถือเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่งที่เมื่อท่านได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว วันรุ่งขึ้นท่านก็มิได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเลยแต่ได้ศึกษาทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระจากพระอาจารย์โหน่ง
อินฺทสุวณฺโณ โดยทันที จนได้ไปพบกับคำว่า “อวิชฺชาปจฺจยา” และนับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านตัดสินใจเดินทางมาสืบค้นความรู้เกี่ยวกับคำคำนี้ต่อมาที่กรุงเทพมหานคร
การตัดสินใจเดินทางมาสืบค้นความหมายของคำว่า “อวิชฺชาปจฺจยา”
เพียงคำเดียว ที่กรุงเทพมหานคร (หรือจังหวัดพระนคร) ในช่วงเวลานั้น
(สมัยรัชกาลที่ ๕ ราวปีพุทธศักราช ๒๔๔๙) ย่อมมิใช่เรื่องง่ายเลย
เพราะการคมนาคมยังไม่สะดวก ประกอบกับเอกสารตำราและคัมภีร์ต่าง ๆ
ก็เป็นของที่หายากอย่างยิ่ง
การตัดสินใจเดินทางไกลมาเพราะต้องการสืบค้นความหมายของคำเพียงคำเดียวนี้
จึงเป็นเครื่องยืนยันเป็นอย่างดีว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี
(สดจนฺทสโร) นั้น ท่านมีหัวใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและสมกับการเป็น “ต้นแบบของนักวิจัยทางพระพุทธศาสนา”
เพียงใด
หลังการเดินทางมายังกรุงเทพมหานครแล้ว ด้วยการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องทั้งทางปริยัติและปฏิบัติเป็นเวลาหลายปี
พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านไม่เพียงแต่จะได้ศึกษามูลกัจจายนะอย่างทบไปทวนมาถึง ๓
จบพระธรรมบท ๘ ภาค คัมภีร์มังคลัตถทีปนี และสารสงเคราะห์เท่านั้น
การหมั่นเข้ารับการฝึกสมาธิจากพระวิปัสสนาจารย์ในสำนักต่างๆอย่างต่อเนื่อง เช่น ท่านเจ้าคุณสังวรานุวงศ์เถระ
(เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม พระครูฌานวิรัติ (โป๊) วัดพระเชตุพน
พระอาจารย์สิงห์วัดละครทำ ฯลฯ นั้น น่าจะทำให้พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
ท่านได้ค้นพบความหมายของคำว่า “อวิชฺชาปจฺจยา” ในแง่ของนิยาม
(Definition) นั้นนานแล้ว แต่การที่ท่านยังคงศึกษาค้นคว้าต่อไปอีกอย่างไม่ลดละนั้น
ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะท่านอาจขยายขอบเขตหรือปริมณฑลของความรู้ของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วหลายเท่าตัว
ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้ท่านได้พบข้อมูลปฐมภูมิดั้งเดิม (Primary Source) ที่สำคัญยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวด้วยเช่นกัน
ถ้าเราจะเปรียบว่า
การตั้งใจบรรพชาอุปสมบทเพื่ออุทิศชีวิตไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี
การตัดสินใจเดินทางเข้ามาค้นหาความหมายของคำว่า “อวิชฺชาปจฺจยา”
และการตั้งใจศึกษาหาความรู้ทั้งทางปริยัติและปฏิบัติจากคณาจารย์หลายท่านของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
ก็ดีนั้น เป็นเสมือนกับการรวบรวมหลักฐานใน “การศึกษาค้นคว้าความเป็นจริงของชีวิต”
แล้ว ประเด็นการวิจัยหลักของท่านก็ย่อมจะไม่พ้นเรื่องของคำถามที่ว่า “เกิดมาทำไม”
“ตายแล้วไปไหน” “อะไรคือความเป็นจริงของชีวิต” ไปได้
ซึ่งหากเรายิ่งทำความเข้าใจลงไปให้ลึกซึ้งในประวัติและคำสอนของท่านแล้ว เราจะยิ่งพบว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปีของท่านนั้น
มีแต่การสืบค้นคำตอบในเรื่องราวเหล่านี้ทั้งสิ้น
ซึ่งเป็นการสืบค้นคำตอบที่ท่านยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียว
สิ่งที่เหมือนกันของเรื่องราวชีวิตของพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ในช่วงก่อนและหลังการบรรลุธรรมนั้น คือ “ปฏิปทา
ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้อย่างลึกซึ้ง” ของท่าน ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ดังปรากฏว่า เมื่อท่านสนใจศึกษาประเด็นใดแล้ว
ท่านจะตั้งใจอย่างจริงจังเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวนั้น ๆ อย่างแตกฉาน ทั้งในระหว่างการศึกษาสืบค้นนั้นพบว่า
ท่านได้ใช้วิธีการอย่างหลากหลายเพื่อเป็นต้นแบบนักวิจัย
ในการศึกษาค้นคว้าหาเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างมากที่สุด
ดังที่ปรากฏในอัตชีวประวัติของท่านว่าต้องแบกคัมภีร์จนไหล่ลู่
และมีความเชี่ยวชาญมากและหมั่นไปพบปะขอความรู้จากคณาจารย์ ผู้รู้มากมายหลายสำนัก
ทั้งสังเกต ทบทวน และฝึกปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านคณาจารย์เหล่านั้นอย่างจริงจัง
จนเจนจบความรู้ของครูบาอาจารย์ ฯลฯ เพียงแต่สิ่งที่อาจต่างออกไปก็คือ ในช่วง ๑๒
พรรษา ก่อนการบรรลุธรรมนั้น สิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านมุ่งมั่นก็คือ การแสวงหาการบรรลุธรรมตามอย่างพระบรมศาสดา
และการแสวงหาคำตอบของเป้าหมายชีวิต
และหลังจากที่ท่านได้บรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายแล้ว
เป้าหมายของท่านจึงมีการพัฒนามาสู่การ “ศึกษาวิชชาธรรมกายชั้นสูง” ให้ลึกซึ้ง
และรวมถึงการ “เผยแผ่วิชชาธรรมกาย” ที่ท่านค้นพบนั้นออกไปให้กว้างขวางต่อมา
ที่สำคัญก็คือ
การค้นพบวิชชาธรรมกายของท่านนั้น ยังได้ทำให้ท่านมีความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับ “อวิชฺชาปจฺจยา”
อย่างลึกซึ้งอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเหตุไร
เกี่ยวกับประเด็นนี้หากเรานำคำคำนี้มาพิจารณา เราจะพบว่า คำว่า“อวิชฺชาปจฺจยา”
นั้น
นักวิชาการทางพระพุทธศาสนานิยมอธิบายไว้ในรูปของหลักปฏิจจสมุปบาทธรรม
โดยระบุไว้ว่า “สาเหตุหลักของการเกิดทุกข์ก็คืออวิชชา” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทสายเกิด คือ “อวิชชาเป็นรากเหง้าของการเกิดทุกข์”
ซึ่งภายหลังเมื่อได้ศึกษาค้นคว้าพระธรรมเทศนาทั้ง ๖๓
กัณฑ์ของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) อย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่า ทุก ๆ คำสอนของท่านที่ปรากฏอยู่ในบทพระธรรมเทศนาดังกล่าวล้วนแต่เชื่อมโยงไปสู่เรื่องของการดับ
“อวิชชา” ทั้งสิ้น
ซึ่งก็เท่ากับว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้สรุปผลการศึกษาวิจัยของคำว่า
“อวิชฺชาปจฺจยา” ไว้เรียบร้อยแล้ว
โดยผ่านองค์ความรู้ของวิชชาธรรมกาย นั่นเอง
ในทัศนะของผู้เขียน
แม้ในเบื้องต้นไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด
จนฺทสโร) ท่านจะมีสมมติฐานเกี่ยวกับวิชชาธรรมกายมาก่อนหรือไม่ อย่างไร ? แต่การที่ท่านเริ่มต้นศึกษาค้นคว้าความรู้ในพระพุทธศาสนาทุก
ๆ ด้านทุก ๆ วิธีการด้วยใจที่บริสุทธิ์และมุ่งมั่น
เพื่อจะได้ทราบถึงเป้าหมายอันแท้จริงของชีวิตมนุษย์
(ถือว่าเป็นการตามรอยธรรมของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง) ผู้เขียนเชื่อว่าสมมติฐานหลักของท่านก็น่าจะเป็นการเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามีอยู่จริง
จึงได้เป็นแรงบันดาลใจประการหลักในการตั้งใจเดินทางมาแสวงหาคำตอบของคำว่า “อวิชฺชาปจฺจยา”
และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท่านบรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายในคืนวันเพ็ญขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีพุทธศักราช ๒๔๖๐ ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ท่านได้บรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายแล้วนั้นเอง
ที่เราอาจกล่าวได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
ท่านยิ่งมีกระบวนการศึกษาวิจัยเรื่องของธรรมกายที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก
ดังจะเห็นได้จากการที่ในช่วงหลายปีต่อจากนั้น ท่านยิ่งให้ความสำคัญกับการศึกษา
ทบทวน ปรับปรุงและพัฒนาการค้นคว้าวิชชาธรรมกายก้าวหน้าไปอีกมาก
ซึ่งหากเปรียบไปแล้วเราอาจกล่าวได้ว่า
กระบวนการที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านวิจัยธรรมด้วยธรรมจักษุและญาณทัสนะ ของ “ธรรมกาย”
ภายหลังจากที่ท่านบรรลุธรรมแล้ว พอจะเปรียบเทียบได้ว่าเป็น “กระบวนการวิจัยและพัฒนา”
(ResearchProcess and Development) ก็ได้ โดยมีวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
และโรงงานทำวิชชาเป็นศูนย์วิจัยแห่งแรก
จากการศึกษาค้นคว้ามาอย่างต่อเนื่องผู้เขียนเชื่อว่า
ในช่วงหลังจากการบรรลุธรรม หรือในช่วงที่ท่านได้สอนธรรมอยู่ที่วัดบางปลา
จนได้ศิษยานุศิษย์ที่บรรลุธรรมตามท่านเป็นพระภิกษุ ๓ รูป และคฤหัสถ์ ๔ คนแล้ว
พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านก็ยังคงศึกษาพระปริยัติธรรมควบคู่ไปด้วยเสมอ
แต่การศึกษาพระปริยัติธรรมของท่านในภายหลังนี้เป็นไปเพื่อการนำมาใช้อ้างอิง
หรือเป็น “เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง” ทั้งปฐมภูมิและทุติยภูมิ
(Primary & Secondary Sources) สำหรับยืนยันความถูกต้องของวิชชาธรรมกายนั่นเอง
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ นั้น
ท่านแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง “รตนตฺตยคมนปณามคาถา” (ความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย)
ท่านได้อธิบายเกี่ยวกับความหมายของการนอบน้อมวิธีการในการนอบน้อม
การเปล่งวาจาในการนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย ฯลฯ แล้วท่านได้ระบุชัดว่า “พระรัตนตรัยเป็นแก้วจริงๆ หรือเปรียบด้วยแก้ว
ถ้าเป็นทางปริยัติ เข้าใจตามอักขระแล้ว เป็นอันเปรียบด้วยแก้ว แต่เป็นทางปฏิบัติ
เข้าใจตามปฏิบัติแล้ว เป็นแก้วจริงๆ การถึงพระรัตนตรัย ต้องเอากายวาจา ใจ
เราที่ละเอียด จรดเข้าไปให้ถึงแก่นพระรัตนตรัยจริงๆ ได้ในบทว่า สกฺกตฺวา พุทธรตนํ
กระทำตนให้เป็นแก้วคือพุทธสกฺกตฺวา ธมฺมรตนํ กระทำตนให้เป็นแก้วคือธรรม สกฺกตฺวา
สงฺฆรตนํ กระทำตนให้เป็นแก้วคือสงฆ์
นอกจากนี้
พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯท่านยิ่งกล่าวชัดขึ้นไปอีกในภาคปฏิบัติด้วยว่า “ธรรมกายนี้เองเป็นพุทธรัตนะ
ซึ่งแปลว่าแก้วคือพุทธะ ธรรมที่ทำให้เป็นกายต่างๆ นี้เอง เป็นธรรมรัตนะ
ซึ่งแปลว่าแก้วคือธรรมและธรรมกายคือกายธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น
ยกธรรมกายของพระสัพพัญญูและธรรมกายของพระปัจเจกพุทธเจ้าออกเสีย
นอกจากนั้นเป็นธรรมกายของสาวกพุทธทั้งสิ้น มีมากน้อยเท่าใดเป็นสังฆรัตนะ
แก้วคือสงฆ์”
ความชัดเจนที่ปรากฏเป็นผลประจักษ์
เกี่ยวกับการตอกย้ำความมีอยู่จริงของธรรมกายนั้น มิได้ปรากฏอยู่แต่เพียงในคำเทศน์สอนของพระเดชพระคุณท่านเท่านั้น
นับตั้งแต่ได้รับศาสนกิจให้ทำหน้าที่สมภารปกครองวัดปากน้ำ
ท่านยังแสดงจุดยืนและดำเนินการค้นคว้าเพิ่มเติมในวิชชาธรรมกาย
ที่ได้ค้นพบและส่งเสริมให้เผยแผ่ออกไปอย่างแพร่หลายและกว้างขวางเสมอมา
แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมาย หรือมีผู้ที่ไม่เข้าใจเพียงใดก็ตาม
แต่ในที่สุดเมื่อท่านได้ให้การอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์มาได้ราว ๓๔ ปีเศษ
ปรากฏว่ามีผู้ได้รับการศึกษาวิชชาธรรมกายจำนวนมาก
ในจำนวนนี้มีผู้ได้รู้และได้เห็นธรรม คือ “ได้ธรรมกาย” เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ได้ธรรมกายแล้ว ท่านยังมี “หลักสูตร”
เพิ่มเติมสำหรับวิชชาชั้นสูง เป็นประจำทุก ๆ
วันสำหรับผู้ที่ได้รับผลการปฏิบัติก้าวหน้า เนื่องจากท่านมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับ “กระบวนการวิจัยและพัฒนา”
ทั้งบุคคลและวิชชาธรรมกายไปพร้อมกัน กล่าวคือ “มีการค้นคว้าคืบหน้าทุกวัน
ไม่มีหยุดแม้แต่วินาทีเดียว” พร้อมๆ ไปกับการสนับสนุนให้มีการจัดส่งพระภิกษุและอุบาสิกา
ที่มีความเชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกายให้จาริกไปสอนยังสำนักต่างๆ
เป็นประจำทุกปีทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากการศึกษาปฏิปทาของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ มาจนถึงบัดนี้
ทำให้ผู้เขียนเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าวิชชาธรรมกายนั้น สำคัญเพียงใด
วิชชาธรรมกายมีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาอย่างไร
การศึกษาพระปริยัติธรรมกับการปฏิบัติมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และ “ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ”
นั้นเกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปสู่การเข้าถึงพระธรรมกายอย่างไร ฯลฯ
ประเด็นสำคัญๆ เหล่านี้มีคำตอบอยู่แล้วในพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน
เพียงแต่จำเป็นจะต้องมีการศึกษาค้นคว้ารวบรวมอย่างเป็นระบบ
ด้วยกระบวนการวิจัยและจะต้องทำอย่างจริงจังแบบเดียวกับที่
พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายท่านได้กระทำเป็นตัวอย่างสืบมา สำหรับในปีนี้ วันขึ้น๑๕
ค่ำ เดือน ๑๐ (หรือตรงกับวันอังคารที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐) ที่จะถึงนี้
ต้องถือว่าเป็นวาระพิเศษ เพราะเป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งการค้นพบวิชชาธรรมกาย
สำหรับพวกเราที่เป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ นั้น
ย่อมจะต้องตระหนักและซาบซึ้งถึงความสำคัญ
เพราะเราต่างก็รู้ว่าการเกิดขึ้นของวิชชาธรรมกายมิใช่เรื่องง่าย
การเกิดขึ้นของบุคคลผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายก็มิใช่เป็นเรื่องง่าย
กว่าที่วิชชาธรรมกายจะสืบทอดมาถึงพวกเรา
ก็เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่งคณะบุคคลผ้เป็นมหาปูชนียาจารย์ของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นพระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายก็ดี
คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ก็ดี หรือหลวงพ่อทั้งสองของเราก็ดี
ต่างก็ต้องทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพันประคับประคองวิชชาธรรมกายมาด้วยความยากลำบาก
กว่าจะส่งทอดมรดกธรรมนี้มาถึงพวกเรา
เพื่อให้เรื่องราวของวิชชาธรรมกาย
ความจริงแท้ของการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย ตลอดจนหลักฐานธรรมกาย
และการศึกษาคำสอนดั้งเดิมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกี่ยวกับหลักฐานธรรมกาย
ได้รับการปักหลักอย่างมั่นคงในโลกนี้และเป็นที่พึ่งของมวลมนุษยชาติได้สำเร็จ
ผู้เขียนและคณะทำงานคณะนักวิจัยของสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) จึงใคร่ขอเชิญชวนให้ลูกศิษย์หลานศิษย์แห่งวิชชาธรรมกายมาร่วมกันสถาปนาอาคารสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย
(DIRI) ประเทศนิวซีแลนด์ ให้สำเร็จ ในโอกาสครบรอบ ๑๐๐
ปี ของวิชชาธรรมกายที่จะถึงนี้ ทั้งนี้อาคารสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI)
ที่กำลังจะสถาปนาขึ้นนี้ มีพันธกิจในการเป็นสถาบันวิจัยทางพุทธศาสตร์
การเป็นสถาบันวิจัยที่ผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยเรื่อง “ธรรมกาย”
การสืบทอดการปฏิบัติสมาธิเพื่อเข้าถึงพระธรรมกาย ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานสรุปใจความได้ว่า “หากไม่เห็นธรรมคราวนี้
จักขอนั่งไม่ลุกจากที่ ยอมตายตรงนี้ หากธรรมที่บรรลุนี้จักเกิดโทษ
อย่าโปรดประทานให้ หากว่าเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาแล้วไซร้
ขอพระองค์จงได้โปรดประทานเถิด ข้าพเจ้าจักรับเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนา”
เมื่อปฏิบัติสมาธิจนบรรลุธรรมกาย ในคืนวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐
ปี พุทธศักราช ๒๔๖๐ ณ วัดโบสถ์บน บางคูเวียง จ.นนทบุรี
ซึ่งนับเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ของชีวิตที่เราทุกคนไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไป
ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านมีความสมบูรณ์พร้อมด้วยสมบัติทั้งสาม
รู้แจ้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกาย มีดวงปัญญาที่สว่างไสว
เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายตลอดไป
ได้มาร่วมกันเป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย
และขอให้สมความปรารถนาในสิ่งที่ดีงามจงทุกประการเทอญ ขอเจริญพร
Cr. นวธรรม และคณะนักวิจัย DIRI
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๗ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๒๖)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
07:27
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: