ความลับของพระพุทธศาสนา
พระอาจารย์จบการศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์
จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ไม่ทราบว่ามาบวชได้อย่างไร
เดิมอาตมาก็เหมือนเด็กไทยทั่วไป คือ
รู้จักพระพุทธศาสนาจากการเรียนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน เรียนรู้เอาไว้สอบ
พอสอบเสร็จก็ลืม ๆ ไปบ้าง ถามว่า เคยเอามาใช้ไหม ก็ใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง
แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นตอนเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นได้มาอบรมธรรมทายาทที่วัดพระธรรมกาย
ซึ่งหลวงพ่อท่านให้นั่งสมาธิและเทศน์สอน ผ่านไปไม่กี่วัน ต้องบอกว่าไม่นึกมาก่อนเลยว่าคำสอนในพระพุทธศาสนาจะลุ่มลึกและมีประโยชน์ต่อชีวิตมากขนาดนี้
ในด้านปฏิบัติ พอใจสงบ ใจสบาย จะเรียน จะทำอะไร
ดีไปหมด และต้องบอกว่าที่สามารถเข้า คณะแพทยศาสตร์ได้ ก็เป็นผลจากการฝึกสมาธิ
พอได้ฝึกอย่างสม่ำเสมอ ผลการเรียนดีขึ้นทันตาเห็น นี่คือผลที่ประจักษ์ชัดในฐานะที่เป็นนักเรียน
ส่วนประโยชน์ที่ลึกซึ้งในด้านของความสงบใจก็มีมหาศาล
ทำให้มีความสุขในการดำเนินชีวิต
ในด้านปริยัติ
หลักธรรมที่หลวงพ่อท่านสอนเป็นเหตุเป็นผลที่เราในฐานะคนยุคใหม่ฟังแล้วรับได้ เช่น
เราสงสัยว่านรก-สวรรค์มีจริงไหม ตายแล้วเกิดใหม่จริงหรือ กฎแห่งกรรมมีจริงไหม
เป็นการขู่ไม่ให้ทำบาปหรือเปล่า ท่านบอกว่ามีจริง แล้วอธิบายเปรียบเทียบว่า
ดวงดาวที่มองเห็นในเวลากลางคืนนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่แน่
ถามว่าทำไมไม่แน่ ก็เราเห็นอยู่กับตา
ความจริงที่เราเห็นดาวก็เพราะมีแสงจากดาวดวงนั้นวิ่งมาเข้าตาเรา
แล้วก็ส่งสัญญาณไปที่สมอง และเกิดกระบวนการรับภาพ ก็เลยเห็นภาพของดวงดาว
แต่ดาวที่เราเห็นบางดวงห่างจากโลกตั้งพันล้านปีแสง ขณะที่เราเห็นมีประกายแว็บ ๆ
บนดาวดวงนั้น จริง ๆ แล้วเป็นการระเบิดเมื่อพันปีที่แล้ว ล้านปีที่แล้ว
หรือพันล้านปีที่แล้ว แต่ภาพเหตุการณ์เพิ่งมาถึง ตาเรา ขณะนี้ดาวดวงนั้นอาจจะเกิดการยุบตัว
กลายเป็นดาวนิวตรอนหรือเป็นหล่มดำไปแล้วก็ได้ ดังนั้น
ดาวที่เราเห็นบนท้องฟ้าเป็นอดีตทั้งนั้นเลย
สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้วมันไม่ได้หายไปไหน
ภาพเหตุการณ์ก็วิ่งไป หากเราสามารถเดินทางไปดักข้างหน้าด้วยระยะทางที่แสงเดินทาง ๑
ปี เราก็จะเห็นภาพเหตุการณ์เมื่อ ๑ ปีก่อน ถ้าไปดักด้วยระยะทางที่แสงเดินทางล้านปี
ก็จะเห็นภาพเหตุการณ์เมื่อล้านปีที่แล้ว และที่ไอน์สไตน์บอกว่าแสงเดินทางเร็วที่สุดนั้น
ยังมีที่เร็วกว่าแสงคือใจของคน แต่ต้องเป็นใจที่เป็นสมาธิตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน แน่วแน่ในฌานสมาบัติจนอภิญญาเกิดขึ้น
ก็จะสามารถระลึกชาติได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในการอธิบายของท่าน
ฟังแล้วรู้สึกว่าอย่างนี้รับได้
แล้วท่านก็ปฏิบัติให้เราเห็นเป็นแบบอย่างว่าทำได้จริง มีพยานบุคคลในการพิสูจน์
แล้วทุกเรื่องไม่มีบังคับว่าต้องเชื่อ ห้ามถาม ห้ามสงสัย ท่านบอกว่าถ้าสงสัยถามเลย
แล้วท่านก็อธิบายทีละประเด็น เป็นการสอนที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
รู้สึกประทับใจ ซาบซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าประเสริฐ และเห็นเลยว่าถ้านำไปใช้แล้วชีวิตจะดีขึ้นมาได้อย่างไร
จะแก้ปัญหาสังคมและปัญหาของโลกได้อย่างไร เมื่อเรียนจบจึงเลือกเส้นทางชีวิตมาบวชอย่างนี้
เรียนจบคณะแพทยศาสตร์ได้เงินเดือนสูงมาก
ยังตัดสินใจมาบวช
ระหว่างเรียนอาตมาทำงานชมรมพุทธฯ
ไปด้วย เพราะคิดว่า เมื่อเรามีโอกาสเรียนรู้คำสอนของ พระพุทธเจ้าที่ประเสริฐอย่างนี้
เราก็น่าจะเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เรียนรู้บ้าง ก็เลยไปช่วยแนะนำเพื่อน ๆ
นิสิตนักศึกษาให้เข้าวัดปฏิบัติธรรม
พอเรียนจบ ถ้าเป็นหมอ
ในแง่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจก็ดีอยู่ แต่ตอนนั้นทราบแล้วว่า ตราบใดคนเรายังไม่หมดกิเลส
ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามแรงบุญแรงบาป ถามว่ามีหลักประกันไหมว่าเป็น หมอแล้วจะทำความดีตลอดและจะไม่ตกนรก
ไม่มีรับประกัน แค่มีความสะดวกด้านเศรษฐกิจ แต่ถ้าเรามาบวช ชีวิตก็จะปลอดกังวล
และสามารถใช้เวลาในการทำความดีได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้ไม่หมดกิเลสชาตินี้
ก็ทำให้เบาบางลง แล้วใกล้ต่อหนทางพระนิพพานมากขึ้น ในแง่ประโยชน์ส่วนตัวตอบได้ชัดว่าบวชดีกว่าเป็นหมอ
เรื่องประโยชน์ส่วนรวม สมมุติเราเป็นหมอ
วันหนึ่งอาจจะรักษาคนได้ร้อยราย แต่ถ้าผ่าตัดได้ แค่ ๔-๕ ราย ก็หมดเวลา
เดือนหนึ่งได้กี่คน ปีหนึ่งได้กี่คน รักษาหายแล้วเขาจะเป็นคนดีหรือคนร้ายก็ไม่ทราบ
แต่ถ้าเรามาบวช ตั้งใจปฏิบัติฝึกตัวเอง แล้วสอนคนให้เป็นคนดีขึ้นมาเยอะ ๆ
แล้วร่วมกันทำความดีให้กระแสความดีเกิดขึ้นมา น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
สังคมอาจจะขาดหมอไปคนหนึ่ง แต่จะได้หมอที่ดีกลับไปสู่สังคมเป็นสิบเป็นร้อยคน
พระพุทธศาสนามีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
จริงหรือไม่ที่เขาบอกว่า คนที่ตั้งใจเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าถึงได้
พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ไขความลับของโลกและจักรวาล
พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้บัญญัติคำสอน แต่เป็นผู้ค้นพบความจริงของกฎธรรมชาติ ความจริงของโลกและชีวิต
และรู้วิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ที่นำ ไปสู่ความสุขและความสำเร็จสูงสุด
แล้วพระองค์ก็นำความรู้นั้นมาสอนเรา นั่นคือคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่เป็นสากล
ใครก็ตามที่เปิดใจกว้างมาสัมผัสจะพบว่าเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่
อย่างไอน์สไตน์ที่ถือกำเนิดมาในศาสนาอื่น ยังกล่าวไว้ว่า "ศาสนาแห่งอนาคตจะต้องเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล
เป็นศาสนาที่มีคำสอนอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล
ไม่ได้อยู่ที่พื้นฐานความเชื่ออย่างเดียว
แล้วสามารถตอบสนองความต้องการเรื่องเหตุและผลของนักวิทยาศาสตร์ได้
ศาสนานั้นคือพระพุทธศาสนา "
คือเขามองว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาของโลกเท่านั้น
แต่เป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล คำสอนที่สมบูรณ์อย่างนี้เขายอมรับทั้งกายทั้งใจ
แล้วยังมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกจำนวนมากที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนา
ตอนนี้ทางโลกตะวันตก
ผู้ที่มีความรู้และมีการศึกษาสูงหันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ ในอเมริกา
นิตยสารไทม์แมกกาซีน ซึ่งถือว่าเป็นนิตยสารที่ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของโลก
ขึ้นหน้าปกเลยว่าพระพุทธศาสนาเป็นแนวโน้มใหม่ของสังคมอเมริกัน คือเขามองว่า
เป็นไปได้ที่ศาสนาพุทธอาจจะกลายเป็นศาสนาหลักของประเทศอเมริกาในอนาคต และตอนนี้คนชั้นนำของประเทศอเมริกาหันมาศึกษาพระพุทธศาสนา
ถึงขนาดประกาศตนเป็นชาวพุทธแล้วเปลี่ยนศาสนาเป็นแสน ๆ คน แล้วที่ลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
แต่ยังไม่ถึงขนาดประกาศเปลี่ยนศาสนาก็มีเป็นสิบ ๆ ล้านคน
คนเหล่านี้ไม่ใช่ชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน แต่เวลาศึกษาศาสนาพุทธ เขาเอาจริง
เพราะเขาสนใจ กระแสนี้เกิดขึ้นทั้งในอเมริกาและยุโรป รวมทั้งในประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษาและมาตรฐานการครองชีพสูง
นับวันคนมีความรู้ มีการศึกษาสูง จะยิ่งหันมาศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนามากขึ้น
เพราะว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยี่ยม จริง ๆ ใครสัมผัสจริง ๆ จะยอมรับหมด
คนที่ศึกษาศาสนาพุทธจะได้รับสิ่งใดจากการศึกษาบ้าง
คำสอนในพระพุทธศาสนาแบ่งคร่าว ๆ ได้เป็น ปริยัติกับปฏิบัติ
ปริยัติคือหลักธรรมคำสอนที่เอามา ใช้เป็นข้อคิด เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
เวลาเราเจอปัญหา ไม่ว่าปัญหาครอบครัว ปัญหาเรื่องเพื่อน เรื่องการงาน
ทุกอย่างมีหลักในการแก้หมด คนที่มีหลักในการแก้ปัญหาอย่างนี้ เรียกว่าเป็น
ผู้หลักผู้ใหญ่ คือเป็นผู้ใหญ่ที่มีหลักในการดำเนินชีวิต มีลูกสอนลูกได้ เป็นหัวหน้าสอนลูกน้องได้
เป็นผู้นำในองค์กรก็สามารถนำองค์กรไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
เพราะมีหลักธรรมเป็นประทีปนำทาง นี่คือประโยชน์ของพระปริยัติธรรม
ด้านการปฏิบัติ คือจุดเด่นของพระพุทธศาสนา
เพราะธรรมะภาคปริยัติทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาจากการทำสมาธิในคืนวันวิสาขบูชาจนกระทั่งตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปราบกิเลสในตัวหมด แล้วเข้าถึงขุมคลังใหญ่ของความรู้ภายใน เป็นภาวนามยปัญญา
คือปัญญาที่เกิดจากการทำสมาธิ เกิดจากการเห็นจริง ๆ
ดังนั้นหลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนาจึงเป็นแก่นและเป็นหัวใจที่ชาวพุทธจะต้องศึกษาคู่ขนานไปกับปริยัติ
ถ้าใครศึกษาแต่ทฤษฎี อาจจะเกิดลักษณะที่รู้แต่ทำไม่ได้ แต่ถ้าลงมือปฏิบัติไปด้วย
จะรู้และทำได้ด้วย เพราะสมาธิ เป็นการฝึกใจให้สงบนิ่ง มีพลัง เห็นสิ่งใดดีก็สามารถทำได้จริง
อะไรไม่ดีก็ยับยั้งได้จริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ทั้งต่อการครองชีวิตในปัจจุบันและเป็นทางมาแห่งบุญด้วย
แล้วในที่สุดจะนำไปสู่การพ้นทุกข์อย่างถาวรตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย
วิธีศึกษาพระพุทธศาสนาแบ่งเป็นกี่แบบ
ถ้าจะแบ่งการศึกษาในทางพระพุทธศาสนา
แบ่งคร่าว ๆ ได้ ๓ แบบ แบบที่ ๑ เป็นการศึกษาแบบชาวบ้าน
คือใครสนใจก็ไปขวนขวายหาความรู้เอาเอง เช่น ไปค้นข้อมูลในเว็บไซต์
ไปหาหนังสือธรรมะอ่าน อันนี้คือไปหาความรู้ทางพระพุทธศาสนา และปฏิบัติตามความสนใจของตัวเอง
แบบที่ ๒ การศึกษาแบบวิชาการ ซึ่งศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
เรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก คณะ Buddhist Study แล้วเจาะลึกเป็นลักษณะที่แสวงหาความจริงว่า
เบื้องหลังของพระพุทธศาสนามีความจริงอะไรแฝงอยู่บ้าง แบบที่ ๓
การศึกษาแบบสังคมวิทยา คือศึกษาว่าปัญหาที่โลกกำลังพบอยู่ขณะนี้ ควรจะทำอย่างไรถึงจะถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
พูดง่าย ๆ คืออาศัยคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางว่า สังคมควรจะเดินไปในทิศทางใด
ในปัจจุบันแนวคิดที่ครอบงำโลกอยู่คือลัทธิทุนนิยม
ลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งมาจากพื้นฐานความคิด ที่ว่า พระเจ้าสร้างสิ่งต่าง ๆ
ขึ้นมาให้มนุษย์ใช้ เช่น สัตว์ มนุษย์ก็มีสิทธิ์ที่จะฆ่าสัตว์มาเป็นอาหารได้
หรือว่าธรรมชาติ มนุษย์ก็หาทางเอาชนะธรรมชาติ
ดัดแปลงธรรมชาติมาสนองความต้องการของตนให้มากที่สุด ซึ่งในยุคที่คนยังไม่มาก
เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้ามากนัก ก็ยังพอได้ แต่ปัจจุบันโลกรับไม่อยู่
มนุษย์บริโภคมากเกินไป มีของเสียออกมามากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาต่อโลกมากมาย
แนวความคิดพื้นฐานเดิมชักจะใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าเดินตามแนวนั้นต่อไปมนุษยชาติเดือดร้อนหมด
ต้องหาแนวความคิดใหม่ ก็มาพบว่า แนวความคิดในพระพุทธศาสนาใช้ได้ อย่างคำสอนที่ว่า
คนกับสัตว์เป็นเพื่อนร่วมโลกกัน มนุษย์ก็เคยเกิดเป็นสัตว์
พอหมดวิบากกรรมก็เกิดเป็นคน ถ้าไปทำบาปทำกรรมอีกหน่อยก็ลงอบาย ไปเป็นเปรต สัตว์นรก
สัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นในฐานะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่าเบียดเบียนกันจนเกินไป หรือกับธรรมชาติก็เหมือนกัน
ต้องอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่เอาธรรมชาติมาตอบสนองความต้องการของตนเอง ควรอยู่อย่างเรียบง่าย
แสวงหาความสุขที่แท้จริงของชีวิต และมีน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่มือใครยาวสาวได้สาวเอา
เขามองเห็นว่าแนวความคิดของพระพุทธศาสนาสามารถเป็นพื้นฐานรองรับความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของโลกได้
และจะนำความสุขที่แท้จริงมาสู่มนุษยชาติ ตรงนี้เองที่เป็นกระแสหลักที่ทำให้คนในกลุ่มที่มีความรู้เริ่มหันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนามากขึ้น
มนุษย์เงินเดือนมักจะมีคำพูดยอดฮิตว่า
ไม่มีเวลา แล้วต้องทำอย่างไร ถึงจะเข้าถึงหลักธรรมได้บ้าง
ประการแรก จริง ๆ
แล้วยิ่งไม่มีเวลายิ่งควรศึกษาธรรมะ เพราะวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง
คนทั่วไปบางทีใช้เวลายังไม่คุ้มค่า แต่ถ้าได้ศึกษาธรรมะ ได้ลงมือฝึกสมาธิ
มีความคิดเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ จะบริหารเวลา ๒๔ ชั่วโมงได้อย่างดี
คืออาจจะแบ่งเวลาศึกษาธรรมะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ วันละ ๑ ชั่วโมง
ศึกษาธรรมะแค่ชั่วโมงเดียว แต่ทำให้ใช้อีก ๒๓
ชั่วโมงที่เหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลคือจะได้เวลาเพิ่มขึ้น
ประการที่ ๒ พวกเราที่คิดว่าไม่มีเวลา
จะเข้าวัดไม่ค่อยมีเวลา แต่ถ้ามีคอนเสิร์ตหรือมีหนังที่สนใจกลับมีเวลาไปดู จริง ๆ
แล้วเราเห็นคุณค่าของการศึกษาธรรมะแล้วหรือยัง นี่คือหัวใจ ถ้าได้ลงมือปฏิบัติจริงจัง
จะได้คำตอบว่าธรรมะดีจริง ๆ อาตมากล้ายืนยันเพราะเจอมาเอง และมีญาติโยมที่มาวัด
ซึ่งแต่เดิมก็ไม่รู้เรื่องอะไร พอลงมือปฏิบัติจริงจังแล้ว ปรากฏว่ามาวัดสม่ำเสมอเป็นแสนเป็นล้านคน
บุคคลเหล่านี้เป็นพยานยืนยันได้ว่า ถ้าลงมือศึกษาธรรมะจริง ๆ เมื่อไร
จะเห็นประโยชน์และเกิดความซาบซึ้ง ถึงตอนนั้นไม่ต้องเคี่ยวเข็ญให้มาวัด
เขาจะมาเองด้วยความสมัครใจ
คนที่ศึกษาธรรมะจากการอ่านตำราทางวิชาการ
เรียกว่าเข้าถึงหลักธรรมหรือเปล่า
ก็ถือว่าได้ในระดับหนึ่ง
เพราะหลักธรรมในพระพุทธศาสนามีทั้งปริยัติ คือภาคทฤษฎี และปฏิบัติ
คือลงมือฝึกสมาธิจริง ๆ จัง ๆ ถึงจะนำไปสู่ปฏิเวธ คือผลลัพธ์ที่ดี
เปรียบเหมือนเราจะล้างมือ ถ้าเอามือข้างเดียวถูก็ไม่ถนัด ต้อง ๒
มือช่วยกันล้างถึงจะเกลี้ยง หากรู้หลักปริยัติแล้วฝึกสมาธิด้วย
ก็จะมีกำลังใจในการทำความดี แล้วใจก็จะสงบนิ่ง จะทำอะไรทุกอย่างก็จะดีหมด ทั้ง ๒
ส่วน ต้องเสริมซึ่งกันและกัน
คนที่ออกไปเที่ยวกลางคืน
กลับมาเช้า แล้ว ๖ โมงเช้า ก็ไปตักบาตร อย่างนี้การศึกษาจะได้ผลอะไรไหม
อันนี้เป็นตัวอย่างจริง ๆ ในชีวิตคน
คือมีดีบ้าง ไม่ดีบ้างผสม ๆ กันอยู่ และความจริงตัวเราเองก็อาจจะคล้าย ๆ
อย่างนี้เหมือนกัน แล้วสิ่งนี้เป็นตัวชี้ให้เห็นว่า ลึก ๆ
ในใจคนทุกคนล้วนแต่อยากจะเป็นคนดีทั้งนั้น และอยากให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น อยากให้สังคมดีขึ้น
แต่ถูกอำนาจกิเลสหรือความอยากเฉพาะหน้ามาดึงใจให้ไปทำในสิ่งที่จริง ๆ ก็ไม่อยากทำ
แต่ว่ามันแพ้ความอยาก ถ้าถามว่าลึก ๆ อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นไหม ไม่อยาก
คนติดยาเสพติดรู้ไหมว่าติดยาเสพติดไม่ดี ก็รู้ แต่ทำไมยังไปเสพ
ก็เพราะว่าแพ้ใจตัวเอง เด็กเหล่านี้ไปเที่ยวมาแล้วยังคิดจะใส่บาตร
เรียกว่ามีเชื้อดีอยู่ อย่าไปหัวเราะเยาะเขา ให้เขาทำเถิด แล้วพอเข้าวัดก็ค่อย ๆ
เพิ่มจากทานมาเป็นศีล แล้วกลายเป็นสมาธิภาวนา ถึงตอนนั้นการไปเที่ยวกลางคืนจะค่อย
ๆ ลดลง แล้วหายไปโดยปริยาย กลายเป็นเด็กดีได้อีกครั้งหนึ่ง
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๑๘
เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
คลิกอ่านข้อคิดรอบตัวของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
การสร้างศาสนทายาท |
เลิกติดเกม อย่างนุ่มนวล |
ความลับของพระพุทธศาสนา
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:16
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: