การสร้างพระเจดีย์มีความสำคัญอย่างไร เหตุใดชาวพุทธในประเทศต่าง ๆ จึงให้ความสำคัญต่อการสร้างเจดีย์มากอีกทั้งยังสืบต่อกันมาเป็นประเพณีทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน ?
คำถาม : การสร้างพระเจดีย์มีความสำคัญอย่างไร
เหตุใดชาวพุทธในประเทศต่าง
ๆ จึงให้ความสำคัญต่อการสร้างเจดีย์มาก อีกทั้งยังสืบต่อกันมาเป็นประเพณีทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน
?
หลวงพ่อทัตตชีโว : ในชีวิตของคนเรา เป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ ที่จะได้พบเห็นผู้ที่ตั้งใจเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบุญ สร้างบารมี สร้างความดีทั้งเพื่อตัวเองและชาวโลก
เราอาจเคยพบเห็นบางคนที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความดีทางโลก ส่วนมากเป็นการเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำงาน เช่น ทหารก็เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการรักษาประเทศชาติ นักวิทยาศาสตร์ก็มีหลายท่านที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการค้นคว้าวิชาการแขนงต่าง ๆ นายแพทย์บางท่านก็ค้นคว้าหาวิธีรักษาโรคร้ายซึ่งใครก็รักษาไม่หาย ต้องเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันทดลองค้นคว้าจนกระทั่งได้วิธีรักษาโรคนั้นสำเร็จ พร้อมกับตัวเองก็ต้องลาโลกไป นี้ก็เป็นวิธีเอาชีวิตเป็นเดิมพันในทางโลก
แต่ว่าผู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการประพฤติปฏิบัติธรรม ในการปราบกิเลสให้หมดให้สิ้นไป หายากเหลือเกิน ถ้าใครได้พบก็ถือว่าคนนั้นมีบุญมาก เพราะฉะนั้น ถ้าใครเกิดในสมัยพุทธกาล ก็ต้องถือว่าท่านเหล่านั้นทำบุญมามากทีเดียว จึงมีโอกาสพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีโอกาสพบพระอรหันต์ ซึ่งท่านเหล่านั้นทั้งหมดล้วนแต่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปราบกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนอกจากทรงเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการค้นคว้าหาทางปราบกิเลสให้หมดสิ้นไปแล้ว ยังทรงค้นคว้าวิธีที่จะนำคำสอนไปเผยแผ่ให้ชาวโลกสามารถปราบกิเลสตามพระองค์ไปได้อีกด้วย
การพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์เช่นนั้น ผู้ที่มีโอกาสพบต้องเป็นผู้ที่สั่งสมบุญไว้อย่างมหาศาลชนิดข้ามภพข้ามชาตินับไม่ไหวกันทีเดียว จึงจะได้พบ
แม้ในชาติที่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ตนเองยังไม่สามารถบรรลุธรรม แต่ภาพของการบรรลุธรรม ภาพของการบำเพ็ญพุทธกิจ ก็จะตราตรึงอยู่ในใจของเขาเหล่านั้น แล้วเขาเหล่านั้นก็มักจะยึดถือพุทธจริยา ยึดถือพุทธวิธี ทั้งในการเผยแผ่ ในการปราบกิเลสให้ตัวเองและประชาชนเป็นมาตรฐาน แล้วก็สร้างบารมีตามพระองค์ไป
เหมือนดังเช่นท่านสุเมธดาบสหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเมื่อครั้งยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ อาศัยที่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร แล้วก็บังเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อจะได้ไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภพชาติเบื้องหน้าตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรด้วย แล้วยิ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรทรงเมตตาพยากรณ์ให้ด้วยว่า อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปข้างหน้าโน้น ก็จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ ก็เลยทำให้ท่านสุเมธดาบสมีกำลังใจที่จะสร้างบารมีต่อไปอีก
ระยะเวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น ไม่ใช่เวลาที่เล็กน้อย หากแต่เป็นเวลายาวนานเหลือเกิน แต่ว่าความศรัทธาความปลื้มปีติจากการที่ได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรนั้นเอง ทำให้สุเมธดาบสมีความรู้สึกว่า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปข้างหน้าโน้นเป็นราวกับวันเดียวแค่พรุ่งนี้เท่านั้นเอง ตรงนี้เป็นเงื่อนสำคัญของการได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้ได้พบแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังไม่ได้บรรลุธรรมหรือมีคุณวิเศษอันใด แต่จิตใจก็พลอยยิ่งใหญ่ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น
พระเจ้าอโศกมหาราชไม่มีโอกาสพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีโอกาสพบพระอรหันต์และสามเณรอรหันต์ ซึ่งสามเณรอรหันต์นั้นแท้ที่จริงก็คือ หลานชายของพระองค์เอง เมื่อได้พบได้สนทนาธรรมด้วยแล้ว ก็มีใจอาจหาญร่าเริงที่จะสร้างบุญบารมีให้ยิ่งใหญ่ตามมาด้วย เพราะฉะนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงปักหลักพระพุทธศาสนาและขยายพระพุทธศาสนาให้กว้างไกลไปทั่วโลก
การที่พวกเราชาวไทยมีพระพุทธศาสนาไว้เป็นหลักชัยประจำใจ ประจำชาติ ก็เพราะว่าเมื่อประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ เศษ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระอรหันต์เหล่านั้นเดินทางมาปักหลักพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งคลุมอาณาบริเวณตั้งแต่ประเทศเมียนมา ไทยจรดประเทศลาว กัมพูชา ผู้ที่ได้พบพระอรหันต์ก็มีโอกาสที่จะได้ประทับใจในจริยา ในการสร้างบารมี การทำงาน การเผยแผ่ของพระอรหันต์ แล้วใจก็กว้างใหญ่ไพศาลขยายออกไปอย่างที่ว่านี้
ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าอโศกมหาราชยังทรงสร้างสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นหลักฐานแสดงถึงสถานที่สำคัญในช่วงชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและดับขันธปรินิพพาน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในเขตประเทศอินเดีย ประเทศเนปาล
สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งนี้ ทรงสร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่ จึงทำให้แม้เวลาผ่านไป ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกก็ยังมีหลักฐานยืนยันว่า ครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยประทับใน ๔ แห่งนี้ ซึ่งเป็นหลักประกันหรือยืนยันว่า เรื่องราวของพระพุทธศาสนา เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิทานประโลมโลกที่แต่งเพื่ออ่านเล่นสนุก ๆ
หลวงพ่อทัตตชีโว : ในชีวิตของคนเรา เป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ ที่จะได้พบเห็นผู้ที่ตั้งใจเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบุญ สร้างบารมี สร้างความดีทั้งเพื่อตัวเองและชาวโลก
เราอาจเคยพบเห็นบางคนที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความดีทางโลก ส่วนมากเป็นการเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำงาน เช่น ทหารก็เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการรักษาประเทศชาติ นักวิทยาศาสตร์ก็มีหลายท่านที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการค้นคว้าวิชาการแขนงต่าง ๆ นายแพทย์บางท่านก็ค้นคว้าหาวิธีรักษาโรคร้ายซึ่งใครก็รักษาไม่หาย ต้องเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันทดลองค้นคว้าจนกระทั่งได้วิธีรักษาโรคนั้นสำเร็จ พร้อมกับตัวเองก็ต้องลาโลกไป นี้ก็เป็นวิธีเอาชีวิตเป็นเดิมพันในทางโลก
แต่ว่าผู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการประพฤติปฏิบัติธรรม ในการปราบกิเลสให้หมดให้สิ้นไป หายากเหลือเกิน ถ้าใครได้พบก็ถือว่าคนนั้นมีบุญมาก เพราะฉะนั้น ถ้าใครเกิดในสมัยพุทธกาล ก็ต้องถือว่าท่านเหล่านั้นทำบุญมามากทีเดียว จึงมีโอกาสพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีโอกาสพบพระอรหันต์ ซึ่งท่านเหล่านั้นทั้งหมดล้วนแต่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปราบกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนอกจากทรงเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการค้นคว้าหาทางปราบกิเลสให้หมดสิ้นไปแล้ว ยังทรงค้นคว้าวิธีที่จะนำคำสอนไปเผยแผ่ให้ชาวโลกสามารถปราบกิเลสตามพระองค์ไปได้อีกด้วย
การพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์เช่นนั้น ผู้ที่มีโอกาสพบต้องเป็นผู้ที่สั่งสมบุญไว้อย่างมหาศาลชนิดข้ามภพข้ามชาตินับไม่ไหวกันทีเดียว จึงจะได้พบ
แม้ในชาติที่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ตนเองยังไม่สามารถบรรลุธรรม แต่ภาพของการบรรลุธรรม ภาพของการบำเพ็ญพุทธกิจ ก็จะตราตรึงอยู่ในใจของเขาเหล่านั้น แล้วเขาเหล่านั้นก็มักจะยึดถือพุทธจริยา ยึดถือพุทธวิธี ทั้งในการเผยแผ่ ในการปราบกิเลสให้ตัวเองและประชาชนเป็นมาตรฐาน แล้วก็สร้างบารมีตามพระองค์ไป
เหมือนดังเช่นท่านสุเมธดาบสหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเมื่อครั้งยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ อาศัยที่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร แล้วก็บังเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อจะได้ไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภพชาติเบื้องหน้าตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรด้วย แล้วยิ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรทรงเมตตาพยากรณ์ให้ด้วยว่า อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปข้างหน้าโน้น ก็จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ ก็เลยทำให้ท่านสุเมธดาบสมีกำลังใจที่จะสร้างบารมีต่อไปอีก
ระยะเวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น ไม่ใช่เวลาที่เล็กน้อย หากแต่เป็นเวลายาวนานเหลือเกิน แต่ว่าความศรัทธาความปลื้มปีติจากการที่ได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรนั้นเอง ทำให้สุเมธดาบสมีความรู้สึกว่า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปข้างหน้าโน้นเป็นราวกับวันเดียวแค่พรุ่งนี้เท่านั้นเอง ตรงนี้เป็นเงื่อนสำคัญของการได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้ได้พบแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังไม่ได้บรรลุธรรมหรือมีคุณวิเศษอันใด แต่จิตใจก็พลอยยิ่งใหญ่ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น
พระเจ้าอโศกมหาราชไม่มีโอกาสพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีโอกาสพบพระอรหันต์และสามเณรอรหันต์ ซึ่งสามเณรอรหันต์นั้นแท้ที่จริงก็คือ หลานชายของพระองค์เอง เมื่อได้พบได้สนทนาธรรมด้วยแล้ว ก็มีใจอาจหาญร่าเริงที่จะสร้างบุญบารมีให้ยิ่งใหญ่ตามมาด้วย เพราะฉะนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงปักหลักพระพุทธศาสนาและขยายพระพุทธศาสนาให้กว้างไกลไปทั่วโลก
การที่พวกเราชาวไทยมีพระพุทธศาสนาไว้เป็นหลักชัยประจำใจ ประจำชาติ ก็เพราะว่าเมื่อประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ เศษ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระอรหันต์เหล่านั้นเดินทางมาปักหลักพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งคลุมอาณาบริเวณตั้งแต่ประเทศเมียนมา ไทยจรดประเทศลาว กัมพูชา ผู้ที่ได้พบพระอรหันต์ก็มีโอกาสที่จะได้ประทับใจในจริยา ในการสร้างบารมี การทำงาน การเผยแผ่ของพระอรหันต์ แล้วใจก็กว้างใหญ่ไพศาลขยายออกไปอย่างที่ว่านี้
ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าอโศกมหาราชยังทรงสร้างสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นหลักฐานแสดงถึงสถานที่สำคัญในช่วงชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและดับขันธปรินิพพาน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในเขตประเทศอินเดีย ประเทศเนปาล
สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งนี้ ทรงสร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่ จึงทำให้แม้เวลาผ่านไป ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกก็ยังมีหลักฐานยืนยันว่า ครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยประทับใน ๔ แห่งนี้ ซึ่งเป็นหลักประกันหรือยืนยันว่า เรื่องราวของพระพุทธศาสนา เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิทานประโลมโลกที่แต่งเพื่ออ่านเล่นสนุก ๆ
-------------------------------------------------------------------------------
พระเจ้าอโศกมหาราชยังทรงสร้างสังเวชนียสถาน
๔ แห่ง
เป็นหลักฐานแสดงถึงสถานที่สำคัญในช่วงชีวิตของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้
แสดงปฐมเทศนา
และดับขันธปรินิพพาน...
ทำให้แม้เวลาผ่านไป ๒,๕๐๐
กว่าปีมาแล้ว
ชาวพุทธทั่วโลกก็ยังมีหลักฐานยืนยันว่า
ครั้งหนึ่ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยประทับใน ๔ แห่งนี้
-------------------------------------------------------------------------------
ดังนั้น
การได้เห็นพระองค์จริงหรือตัวบุคคลที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบุญสร้างบารมีจริงนี้
จึงเป็นมงคลแก่ชีวิตประการสำคัญ นอกจากนี้การสร้างสถานที่สำคัญ
ๆ เกี่ยวกับท่านเหล่านั้น เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้คนรุ่นหลังทราบว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอรหันต์ หรือพระผู้เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างความดีสร้างบารมีนั้นมีจริง
การสร้างสิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้คนรุ่นหลังมีความหวัง
มีกำลังใจประพฤติปฏิบัติธรรม สร้างความดีสร้างบารมีตามอย่างได้
ในยุคสมัยต่อมา หลังจากยุคพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากพุทธปรินิพพานประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ปีไปแล้ว จึงมีการสร้างเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (อัฐิธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) บรรจุพระธาตุ (อัฐิธาตุของพระอรหันต์) เอาไว้
ในยุคสมัยต่อมา หลังจากยุคพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากพุทธปรินิพพานประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ปีไปแล้ว จึงมีการสร้างเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (อัฐิธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) บรรจุพระธาตุ (อัฐิธาตุของพระอรหันต์) เอาไว้
สถูปเจดีย์สาญจีสร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ปัจจุบันอยู่ในรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย
|
การสร้างสถานที่หรือเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของท่านเหล่านี้
นอกจากจะเป็นการยืนยันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระองค์จริงแล้ว
ยังเป็นการช่วยยืนยันอีกด้วยว่า แม้มนุษย์ทั่ว ๆ
ไป หากตั้งใจเอาชีวิตเป็นเดิมพันสร้างบารมีตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ก็มีโอกาสที่จะปราบกิเลสให้หมดสิ้นไปได้เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
ดังนั้น เจดีย์สำหรับบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ จึงทำกันไว้ทั่วบริเวณที่พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไป
ยิ่งกว่านั้น จากหลักฐานในพระพุทธศาสนายังได้พบต่อไปอีกว่า ประเพณีการสร้างวัดในดินแดนสุวรรณภูมิ ในประเทศไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา เลยไปจนกระทั่งถึงเวียดนามในยุคต้น ๆ นั้น เขาสร้างกันแต่เจดีย์
เวลาสร้างวัดที่ใด ก็จะสร้างเจดีย์ โดยไปอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดียหรือประเทศใกล้เคียง ที่มีหลักฐานแน่นอนว่านี้คือพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือมิฉะนั้นก็ไปค้นคว้าจนทราบแน่นอนว่า นี้คือพระธาตุของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรหรือพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง
ต่อมา เมื่อการสร้างวัดกว้างขวางขึ้น และหาพระธาตุของพระอรหันต์ไม่ได้ ก็อาศัยอัฐิธาตุของพระเถรานุเถระ ซึ่งเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปฏิบัติธรรม พระเถรานุเถระเหล่านั้นท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่ เราไม่ทราบ เราไม่มีญาณทัสนะที่จะไปตรวจดู แต่สิ่งที่เราทราบก็คือ ท่านเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการฝึกหัดขัดเกลาตัวของท่านเอง เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการอบรมมหาชนให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติศาสนธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อพระเถระหรือมหาเถระท่านใดมีคุณสมบัติอย่างนี้ ถึงคราวสร้างวัด ก็สร้างเจดีย์ขึ้นโดยอาราธนาอัฐิธาตุของพระเถรานุเถระเหล่านั้นมาบรรจุไว้ในเจดีย์เป็นแกนกลางของวัด จากนั้นก็แล้วแต่ว่าจะสร้างกุฏิ ศาลา โบสถ์ หรืออะไรก็ตามที บริเวณรอบ ๆ เจดีย์เหล่านี้
พระมหาธรรมกายเจดีย์ พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าล้านพระองค์
ได้รับอิทธิพลในด้านรูปแบบจากสถูปเจดีย์สาญจี ประเทศอินเดีย
|
การสร้างเจดีย์เพื่อระลึกถึงบุคคลผู้หาได้ยากในโลก ผู้เอาชีวิตเป็นเดิมพันประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อการกำจัดกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เพื่อพ้นจากทุกข์ทั้งปวง จึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ให้ผู้มากราบไหว้ได้ประพฤติปฏิบัติตามด้วยกุศลศรัทธา และสามารถบรรลุประโยชน์ตนได้เป็นคุณแก่พระศาสนา เป็นคุณแก่โลกด้วยประการฉะนี้
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๘๔ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
การสร้างพระเจดีย์มีความสำคัญอย่างไร เหตุใดชาวพุทธในประเทศต่าง ๆ จึงให้ความสำคัญต่อการสร้างเจดีย์มากอีกทั้งยังสืบต่อกันมาเป็นประเพณีทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
13:07
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: