ศูนย์รวมใจสร้างบารมีไปเป็นทีม
ศูนย์รวมใจสร้างบารมีไปเป็นทีม
เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาของ
หลวงพ่อทัตตชีโว
การที่ใครจะเข้าถึงธรรมะที่ละเอียดๆ ได้ ผู้นั้นจะต้องฝึกตัวและทําสมาธิแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันมาแล้วทั้งสิ้น แม้ในอดีตที่ผ่านมาพระอาจารย์หลายๆ ท่าน เวลาจะฝึกให้ลูกศิษย์เข้าถึงธรรมะละเอียด ก็ต้องดําเนินรอยตามการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ คือไม่ว่าจะให้ลูกศิษย์ทําอะไร จะมีบทฝึกที่เรียกว่าให้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตั้งแต่ชาติต้นๆ กันมานั่นแหละ
สําหรับพวกเรา เรื่องที่จะให้หมดกิเลสไปนิพพานกันในชาตินี้น่ะ ไม่ต้องคิด แต่ถ้าเราเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปฏิบัติธรรมก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวได้ เพราะนิสัยที่ไม่ดีแต่ละชนิดที่ยังมีติดตัวเราอยู่ ชาตินี้ไม่มีทางแก้ไขได้หมด และเพราะชาตินี้แก้ไขได้ไม่หมด และยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากันอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะแก้ไขได้ ประเด็นนี้ทําให้หลวงพ่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อประมาณ ๑๕ ปีที่ผ่านมา วันหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยได้มาปรารภกับหลวงพ่อว่า ท่านกําลังค้นอยู่ว่าทําอย่างไรถึงจะทําทานในชาตินี้ แล้วไม่ต้องไปทําอีกในชาติต่อๆ ไป แต่มีเสบียงพอใช้ไปจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
หลวงพ่อก็ถามท่านกลับ “ทําไมเราจะต้องตุนอะไรกันขนาดนั้น เราทําทานในชาตินี้แล้วก็ไปทําต่อในชาติหน้า ทําไปเรื่อยๆ จะต้องใช้เวลาอีกกี่ร้อยกี่พันชาติ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
ท่านก็กล่าวว่า “แล้วคิดว่าชาติต่อๆ ไปจะได้เจอเนื้อนาบุญอย่างนี้อีกหรือ แล้วถ้าไม่เจอเนื้อนาบุญ ทําทานกันเป็นหมื่นปียังสู้กับที่เขาตักบาตรทัพพีเดียวกับพระอรหันต์ไม่ได้นะ ก็อ่านพระไตรปิฎกมาแล้วไม่ใช่หรือ”
หลวงพ่ออ่านพระไตรปิฎกมาแล้วก็หลายรอบ แต่ไม่เคยได้ฉุกคิด จริงของท่าน อังกุระมาณพทําทานอยู่เป็นหมื่นปีกับบุคคลผู้ไม่มีศีล ในยุคที่พระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น เฉพาะเตาที่ก่อเอาไว้สําหรับหุงข้าว เรียงกันแล้วยาวเป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ น้ำข้าวที่รินออกมา กลายเป็นคลองเอาเรือแล่นได้ ทําทานกันขนาดนั้นยังได้บุญสู้กับที่อินทกมาณพตักบาตรกับพระอรหันต์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญเพียงทัพพีเดียวไม่ได้เลย แล้วเราจะเอาอะไรมาเป็นประกันว่าชาติต่อไป ถึงแม้ทําบุญจนกระทั่งอายุยืนได้ขนาดนั้น แต่ถ้าไม่เจอเนื้อนาบุญ เราจะเอาอะไรไปเป็นเสบียงกันในชาติต่อๆ ไป หมดเสบียงเมื่อไหร่ละก็แย่นะ ดูแค่ในชาตินี้ ถ้าไม่มีเงินในกระเป๋า ค่ารถมาวัดไม่มี อยากจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็ลําบาก จะนั่งหลับตาทําสมาธิก็นั่งไม่ติดกันละ
การที่เราจะแก้นิสัยไม่ดีแต่ละอย่างให้หมดได้ ไม่ใช่สิบชาติร้อยชาติหรือพันชาติหมื่นชาติ แต่อีกกี่ล้านชาติยังไม่รู้ ถ้าไม่เตรียมเสบียงให้พอ ต่อไปข้างหน้าแม้อยากจะรักษาศีล อยากจะนั่งหลับตาทําสมาธิก็ทําได้ยาก
หลวงพ่อก็เลยถามท่านว่า ท่านคิดออกหรือยัง ท่านก็บอกว่า ก็คิดออกมาได้ระดับหนึ่งแล้ว คือต้องหาทางให้สร้างบุญใหญ่ๆ สร้างให้เต็มอิ่มเต็มที่ เต็มมือเต็มใจ แล้วพระภิกษุผู้เป็นเนื้อนาบุญ คนที่รักการปฏิบัติธรรม รักการสร้างบารมี มีอยู่ในแผ่นดินไทยเท่าไร ต้องไปตามมาให้หมด แล้วมาร่วมสร้างบุญพร้อมๆ กัน อย่างนี้จึงจะได้บุญใหญ่มากพอที่จะเกิดไปอีกกี่ชาติๆ เสบียงจะได้พร้อม ไม่ไปหมดกลางทาง
พอฟังท่านพูดแล้วก็ชักเหนื่อยแทน ให้ไปนิมนต์พระที่เป็นเนื้อนาบุญทั้งแผ่นดินมาให้หมด ความรู้สึกเมื่อ ๑๕ ปีก่อนโน้น เอาแค่ร้อยวัดก็แย่แล้ว ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๕ ในงานสลายร่างคุณยายอาจารย์ พวกเราได้ไปนิมนต์เจ้าอาวาส ๓๐,๐๐๐ วัด มากันได้อย่างไร เมื่อ ๑๕ ปีก่อนนั้นนึกไม่ออกจริงๆ แม้ครั้งนี้ทําเสร็จแล้วยังนั่งงงๆ อยู่เลยว่าเป็นไปได้อย่างไร
ความคิดของท่านไม่เหมือนคนอื่น ภาพของท่านชัดเกินกว่าที่คนอื่นจะตามทัน ไหนๆ จะต้องทําบุญเพื่อเก็บเสบียงแล้ว มองเป้าสุดท้ายโน่นเลยว่า ถ้าทําครั้งนี้แล้วก็ไม่ต้องทําอีก ซึ่งการคิดอย่างนี้นักบริหารปัจจุบันเพิ่งมาใช้กัน คือจะทําอะไรก็มองภาพสุดท้ายแล้วถอยหลังกลับมา ซอยงานออกมา จากวันนี้ไปจนกระทั่งงานเสร็จ แต่งานทางโลกเสร็จมันแค่ในชาตินี้ ไม่กี่ปีก็เสร็จ ส่วนงานสร้างบารมีมองข้ามชาติไปอีกกี่อสงไขยชาติก็ตาม ภาพสุดท้ายอยู่ตรงโน้น
พอเห็นภาพสุดท้ายแล้วว่าต้องการให้เสบียงพอถึงจุดสุดท้ายโน่น แล้วในที่สุดท่านก็คิดออก คือต้องสร้างพระเจดีย์ แล้วการที่จะสร้างพระเจดีย์ให้ทรงคุณค่าให้มากที่สุด ท่านนั่งค้นอยู่หลายปีก็พบว่า พระเจดีย์นั้นต้องมีพระพุทธรูปประดิษฐาน และอุดมด้วยลักษณะมหาบุรุษ ซึ่งก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะได้อย่างที่เรากราบไหว้อยู่ทุกวันนี้
งานแต่ละอย่างท่านได้วางผังมาแล้ว มหาธรรมกายเจดีย์ที่เราได้ร่วมกันสร้างนี้มีประโยชน์อย่างที่เห็น มีพื้นที่ส่วนหนึ่งสําหรับเนื้อนาบุญ คือพระภิกษุสงฆ์ขึ้นไปประกอบพิธีกรรมบนนั้น และเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คิดวางแผนว่า จะให้มีคนเป็นล้านมากราบไหว้ มาสวดมนต์ มานั่งสมาธิได้พร้อมๆ กัน
เมื่อท่านคิดที่จะเอาบุญใหญ่ถึงจุดสุดท้ายโน้นจึงกระจายงานออกมาอย่างนี้ แล้วท่านก็คิดของท่านต่อว่า จะไปตามพวกเรามาเป็นล้านคนได้อย่างไร ถ้าตามมาแล้วไม่ฝึกให้ดี เดี๋ยวก็เกิดความวุ่นวาย มาแล้วก็จะไม่ได้บุญกันเต็มที่
ไม่ทราบว่าพวกเราได้รู้ตัวกันหรือเปล่า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านให้พิมพ์พระ หลวงพ่อเองชอบใจคํานี้จริงๆ “พอเราพิมพ์พระเสร็จแล้ว ทําความสะอาดอุปกรณ์ทุกอย่างให้เรียบร้อย จนกระทั่งคนที่มาพิมพ์ต่อจากเรามีความรู้สึกว่าเขาคือคนแรกที่เข้ามานั่งพิมพ์พระ” ตรงนี้เป็นความละเอียดในการฝึกคน เป็นการบังคับให้เราต้องทําด้วยความละเอียดประณีต เป็นระเบียบ
เมื่อจะเอาคนมาเป็นล้าน มีทางเดียวต้องฝึกคนให้ละเอียดให้ได้ เพราะฉะนั้นท่านจะใช้คําพูดนี้อยู่เสมอ พิมพ์พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทําความสะอาดอุปกรณ์ทุกอย่าง ให้คนต่อไปมีความรู้สึกว่าฉันเป็นคนแรกที่มาพิมพ์พระ ถ้ายังฝึกให้ผู้ที่มาวัดเป็นประจําเป็นหมื่นเป็นแสนมีความเป็นระเบียบอย่างนี้ไม่ได้ทั้งหมด อย่าว่าแต่จะเอาคนเป็นล้านมาร่วมสร้างบุญ หลวงพ่อว่าสัก ๓-๔ แสนคนเท่านั้น เดี๋ยวได้มีการเหยียบกันตาย
หลวงพ่อรู้จักกับท่านมา ๓๐ กว่าปี ถ้าว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอะไรกับท่าน ท่านก็ทนฝึกหลวงพ่อมา ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงทิ้งหลวงพ่อไปนานแล้ว พระภิกษุสามเณรในวัดเดี๋ยวนี้ก็มีพันกว่ารูป ซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ ท่านก็เคี่ยวเข็ญลูกพระลูกเณรมาตามลําดับๆ เคี่ยวเข็ญพวกเราที่มาวัดกันเป็นประจํา ให้มีความเป็นระเบียบ มีความละเอียดประณีตให้ได้ เพราะถ้าทํางานหยาบๆ ให้ละเอียดๆ ได้อย่างนี้ ชาตินี้จึงจะมีสิทธิ์เข้าถึงธรรมกายได้ ไม่งั้นอย่าไปหวังเลยนะ
ถ้าไม่ฝึกให้ดี แม้เรื่องการเข้าห้องน้ำแล้วไม่ช่วยกันรักษาความสะอาด จนกระทั่งคนที่เข้ามาใช้ต่อจากเราแล้วไม่เกิดความรู้สึกว่า ฉันมาเข้าเป็นคนแรก ถ้ายังไม่สะอาดระดับนั้นล่ะก็ การรวมคนจํานวนมากมาปฏิบัติธรรมคงทําไม่ได้ เมื่อรวมคนจํานวนมากมาปฏิบัติธรรมไม่ได้ รวมคนจํานวนมากมาเป็นเจ้าภาพไม่ได้ รวมพระจํานวนมากมาเป็นเนื้อนาบุญไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นการที่จะเก็บเสบียงข้ามชาติให้พอไปถึงวันสุดท้ายนั่นก็เป็นไปไม่ได้ แต่เพื่อจะเก็บเสบียงให้ได้จนกระทั่งวันสุดท้าย ถึงที่สุดแห่งธรรมนั่นน่ะ วิธีการต่างๆ เหล่านี้จึงได้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต่อแต่นี้ไป ไม่ว่าหยิบอะไร จะหยิบเหมือนช่างเจียระไนเพชร เจียระไนพลอย คือต้องเจียระไนให้ดีที่สุด เพราะเมื่อเราคิดอย่างนี้ หยิบอะไรแล้วต้องดีที่สุด วิชานี้ต้องถือว่าได้หลักการมาจากคุณยาย เพราะคุณยายใช้คําว่า “ของหยาบๆ ยังทําให้ละเอียดไม่ได้ แล้วของละเอียดอย่างวิชชาธรรมกาย จะไปทําได้อย่างไร”
มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อธัมมชโยท่านปรารภขึ้นว่า “ยังไงก็ตาม ก่อนตายจะฝึกผู้ที่มาวัดให้เข้าถึงวิชชาธรรมกายไปเยอะๆ”
คุณยายก็ถอนใจแล้วพูดกับท่านว่า “คนยุคนี้ใจหยาบนะ ไหวเหรอ จะตายเปล่านะท่านนะ”
ท่านก็ตอบยายไป “พระมาไม่ทันหลวงปู่วัดปากน้ำ ถ้าพระไม่คิดทำอย่างนี้ แล้วทำอย่างไรล่ะ พระจะได้บุญละเอียดๆ ตามหลวงปู่ท่านทันเหมือนอย่างที่ยายทันน่ะ มันก็ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันอย่างนี้แหละ"
ยายก็ว่า "ตามใจ แต่ยายบอกก่อนนะ เหนื่อยซี่โครงบานเลยละ"
เมื่อท่านมีปณิธานอย่างที่ว่ามานี้ โครงการต่างๆ ที่เราฟังแล้วแต่ละเรื่องเหลือเชื่อทั้งนั้น แต่ว่ากลายเป็นจริงได้ เพราะว่าก่อนที่ท่านจะตั้งโครงการ ท่านมองไปเป้าสุดท้ายคือชาติสุดท้ายที่จะถึงที่สุดแห่งธรรม แล้วค่อยแตกงานมาเป็นชื้นย่อยๆ ตามลำดับ
ปีนี้ หลวงพ่อธัมมชโยท่านคงเดินตามรอยยาย ตัวท่านเองก็จะอายุ ๖๐ ปีแล้ว ตั้งใจเก็บเสบียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้พอที่จะเลี้ยงตัวเอง แล้วก็เลี้ยงพวกเราที่ตามมาในภายหลัง จนกระทั่งไปให้ถึงจุดสุดท้าย เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงจุดนั้น ก็ขอให้พวกเรามาช่วยกันเตรียมเสบียงให้เต็มที่ ให้เป็นเสบียงต่อเสบียงไป ใครทำบุญของตัวเองเต็มที่แล้ว ก็ให้ไปทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้พ่อแม่พี่น้องพรรคพวกเพื่อนฝูงให้สมบูรณ์ จะได้เป็นเสบียงของส่วนรวมต่อไป ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ตราบใดยังต้องเวียนว่ายในวัฏสงสาร มาแก้นิสัยที่ไม่ดี มาสร้างบารมีกันอีก ก็ยังมีเสบียงให้สู้กันต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นเราคงจะได้ไปถึงที่สุดแห่งธรรมพร้อมๆ กันทุกคน
ขอให้ทุกท่านได้บุญเยอะๆ ในการบุญครั้งนี้ และขอให้บุญนี้จงส่งผลให้ได้สร้างบุญสร้างบารมีร่วมกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ไปทุกภพทุกชาติ ได้ช่วยกันปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษได้โดยง่ายตลอดไป ตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรม เทอญ
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***
สําหรับพวกเรา เรื่องที่จะให้หมดกิเลสไปนิพพานกันในชาตินี้น่ะ ไม่ต้องคิด แต่ถ้าเราเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปฏิบัติธรรมก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวได้ เพราะนิสัยที่ไม่ดีแต่ละชนิดที่ยังมีติดตัวเราอยู่ ชาตินี้ไม่มีทางแก้ไขได้หมด และเพราะชาตินี้แก้ไขได้ไม่หมด และยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากันอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะแก้ไขได้ ประเด็นนี้ทําให้หลวงพ่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อประมาณ ๑๕ ปีที่ผ่านมา วันหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยได้มาปรารภกับหลวงพ่อว่า ท่านกําลังค้นอยู่ว่าทําอย่างไรถึงจะทําทานในชาตินี้ แล้วไม่ต้องไปทําอีกในชาติต่อๆ ไป แต่มีเสบียงพอใช้ไปจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
หลวงพ่อก็ถามท่านกลับ “ทําไมเราจะต้องตุนอะไรกันขนาดนั้น เราทําทานในชาตินี้แล้วก็ไปทําต่อในชาติหน้า ทําไปเรื่อยๆ จะต้องใช้เวลาอีกกี่ร้อยกี่พันชาติ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
ท่านก็กล่าวว่า “แล้วคิดว่าชาติต่อๆ ไปจะได้เจอเนื้อนาบุญอย่างนี้อีกหรือ แล้วถ้าไม่เจอเนื้อนาบุญ ทําทานกันเป็นหมื่นปียังสู้กับที่เขาตักบาตรทัพพีเดียวกับพระอรหันต์ไม่ได้นะ ก็อ่านพระไตรปิฎกมาแล้วไม่ใช่หรือ”
หลวงพ่ออ่านพระไตรปิฎกมาแล้วก็หลายรอบ แต่ไม่เคยได้ฉุกคิด จริงของท่าน อังกุระมาณพทําทานอยู่เป็นหมื่นปีกับบุคคลผู้ไม่มีศีล ในยุคที่พระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น เฉพาะเตาที่ก่อเอาไว้สําหรับหุงข้าว เรียงกันแล้วยาวเป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ น้ำข้าวที่รินออกมา กลายเป็นคลองเอาเรือแล่นได้ ทําทานกันขนาดนั้นยังได้บุญสู้กับที่อินทกมาณพตักบาตรกับพระอรหันต์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญเพียงทัพพีเดียวไม่ได้เลย แล้วเราจะเอาอะไรมาเป็นประกันว่าชาติต่อไป ถึงแม้ทําบุญจนกระทั่งอายุยืนได้ขนาดนั้น แต่ถ้าไม่เจอเนื้อนาบุญ เราจะเอาอะไรไปเป็นเสบียงกันในชาติต่อๆ ไป หมดเสบียงเมื่อไหร่ละก็แย่นะ ดูแค่ในชาตินี้ ถ้าไม่มีเงินในกระเป๋า ค่ารถมาวัดไม่มี อยากจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็ลําบาก จะนั่งหลับตาทําสมาธิก็นั่งไม่ติดกันละ
การที่เราจะแก้นิสัยไม่ดีแต่ละอย่างให้หมดได้ ไม่ใช่สิบชาติร้อยชาติหรือพันชาติหมื่นชาติ แต่อีกกี่ล้านชาติยังไม่รู้ ถ้าไม่เตรียมเสบียงให้พอ ต่อไปข้างหน้าแม้อยากจะรักษาศีล อยากจะนั่งหลับตาทําสมาธิก็ทําได้ยาก
หลวงพ่อก็เลยถามท่านว่า ท่านคิดออกหรือยัง ท่านก็บอกว่า ก็คิดออกมาได้ระดับหนึ่งแล้ว คือต้องหาทางให้สร้างบุญใหญ่ๆ สร้างให้เต็มอิ่มเต็มที่ เต็มมือเต็มใจ แล้วพระภิกษุผู้เป็นเนื้อนาบุญ คนที่รักการปฏิบัติธรรม รักการสร้างบารมี มีอยู่ในแผ่นดินไทยเท่าไร ต้องไปตามมาให้หมด แล้วมาร่วมสร้างบุญพร้อมๆ กัน อย่างนี้จึงจะได้บุญใหญ่มากพอที่จะเกิดไปอีกกี่ชาติๆ เสบียงจะได้พร้อม ไม่ไปหมดกลางทาง
พอฟังท่านพูดแล้วก็ชักเหนื่อยแทน ให้ไปนิมนต์พระที่เป็นเนื้อนาบุญทั้งแผ่นดินมาให้หมด ความรู้สึกเมื่อ ๑๕ ปีก่อนโน้น เอาแค่ร้อยวัดก็แย่แล้ว ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๕ ในงานสลายร่างคุณยายอาจารย์ พวกเราได้ไปนิมนต์เจ้าอาวาส ๓๐,๐๐๐ วัด มากันได้อย่างไร เมื่อ ๑๕ ปีก่อนนั้นนึกไม่ออกจริงๆ แม้ครั้งนี้ทําเสร็จแล้วยังนั่งงงๆ อยู่เลยว่าเป็นไปได้อย่างไร
ความคิดของท่านไม่เหมือนคนอื่น ภาพของท่านชัดเกินกว่าที่คนอื่นจะตามทัน ไหนๆ จะต้องทําบุญเพื่อเก็บเสบียงแล้ว มองเป้าสุดท้ายโน่นเลยว่า ถ้าทําครั้งนี้แล้วก็ไม่ต้องทําอีก ซึ่งการคิดอย่างนี้นักบริหารปัจจุบันเพิ่งมาใช้กัน คือจะทําอะไรก็มองภาพสุดท้ายแล้วถอยหลังกลับมา ซอยงานออกมา จากวันนี้ไปจนกระทั่งงานเสร็จ แต่งานทางโลกเสร็จมันแค่ในชาตินี้ ไม่กี่ปีก็เสร็จ ส่วนงานสร้างบารมีมองข้ามชาติไปอีกกี่อสงไขยชาติก็ตาม ภาพสุดท้ายอยู่ตรงโน้น
พอเห็นภาพสุดท้ายแล้วว่าต้องการให้เสบียงพอถึงจุดสุดท้ายโน่น แล้วในที่สุดท่านก็คิดออก คือต้องสร้างพระเจดีย์ แล้วการที่จะสร้างพระเจดีย์ให้ทรงคุณค่าให้มากที่สุด ท่านนั่งค้นอยู่หลายปีก็พบว่า พระเจดีย์นั้นต้องมีพระพุทธรูปประดิษฐาน และอุดมด้วยลักษณะมหาบุรุษ ซึ่งก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะได้อย่างที่เรากราบไหว้อยู่ทุกวันนี้
งานแต่ละอย่างท่านได้วางผังมาแล้ว มหาธรรมกายเจดีย์ที่เราได้ร่วมกันสร้างนี้มีประโยชน์อย่างที่เห็น มีพื้นที่ส่วนหนึ่งสําหรับเนื้อนาบุญ คือพระภิกษุสงฆ์ขึ้นไปประกอบพิธีกรรมบนนั้น และเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คิดวางแผนว่า จะให้มีคนเป็นล้านมากราบไหว้ มาสวดมนต์ มานั่งสมาธิได้พร้อมๆ กัน
เมื่อท่านคิดที่จะเอาบุญใหญ่ถึงจุดสุดท้ายโน้นจึงกระจายงานออกมาอย่างนี้ แล้วท่านก็คิดของท่านต่อว่า จะไปตามพวกเรามาเป็นล้านคนได้อย่างไร ถ้าตามมาแล้วไม่ฝึกให้ดี เดี๋ยวก็เกิดความวุ่นวาย มาแล้วก็จะไม่ได้บุญกันเต็มที่
ไม่ทราบว่าพวกเราได้รู้ตัวกันหรือเปล่า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านให้พิมพ์พระ หลวงพ่อเองชอบใจคํานี้จริงๆ “พอเราพิมพ์พระเสร็จแล้ว ทําความสะอาดอุปกรณ์ทุกอย่างให้เรียบร้อย จนกระทั่งคนที่มาพิมพ์ต่อจากเรามีความรู้สึกว่าเขาคือคนแรกที่เข้ามานั่งพิมพ์พระ” ตรงนี้เป็นความละเอียดในการฝึกคน เป็นการบังคับให้เราต้องทําด้วยความละเอียดประณีต เป็นระเบียบ
เมื่อจะเอาคนมาเป็นล้าน มีทางเดียวต้องฝึกคนให้ละเอียดให้ได้ เพราะฉะนั้นท่านจะใช้คําพูดนี้อยู่เสมอ พิมพ์พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทําความสะอาดอุปกรณ์ทุกอย่าง ให้คนต่อไปมีความรู้สึกว่าฉันเป็นคนแรกที่มาพิมพ์พระ ถ้ายังฝึกให้ผู้ที่มาวัดเป็นประจําเป็นหมื่นเป็นแสนมีความเป็นระเบียบอย่างนี้ไม่ได้ทั้งหมด อย่าว่าแต่จะเอาคนเป็นล้านมาร่วมสร้างบุญ หลวงพ่อว่าสัก ๓-๔ แสนคนเท่านั้น เดี๋ยวได้มีการเหยียบกันตาย
หลวงพ่อรู้จักกับท่านมา ๓๐ กว่าปี ถ้าว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอะไรกับท่าน ท่านก็ทนฝึกหลวงพ่อมา ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงทิ้งหลวงพ่อไปนานแล้ว พระภิกษุสามเณรในวัดเดี๋ยวนี้ก็มีพันกว่ารูป ซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ ท่านก็เคี่ยวเข็ญลูกพระลูกเณรมาตามลําดับๆ เคี่ยวเข็ญพวกเราที่มาวัดกันเป็นประจํา ให้มีความเป็นระเบียบ มีความละเอียดประณีตให้ได้ เพราะถ้าทํางานหยาบๆ ให้ละเอียดๆ ได้อย่างนี้ ชาตินี้จึงจะมีสิทธิ์เข้าถึงธรรมกายได้ ไม่งั้นอย่าไปหวังเลยนะ
ถ้าไม่ฝึกให้ดี แม้เรื่องการเข้าห้องน้ำแล้วไม่ช่วยกันรักษาความสะอาด จนกระทั่งคนที่เข้ามาใช้ต่อจากเราแล้วไม่เกิดความรู้สึกว่า ฉันมาเข้าเป็นคนแรก ถ้ายังไม่สะอาดระดับนั้นล่ะก็ การรวมคนจํานวนมากมาปฏิบัติธรรมคงทําไม่ได้ เมื่อรวมคนจํานวนมากมาปฏิบัติธรรมไม่ได้ รวมคนจํานวนมากมาเป็นเจ้าภาพไม่ได้ รวมพระจํานวนมากมาเป็นเนื้อนาบุญไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นการที่จะเก็บเสบียงข้ามชาติให้พอไปถึงวันสุดท้ายนั่นก็เป็นไปไม่ได้ แต่เพื่อจะเก็บเสบียงให้ได้จนกระทั่งวันสุดท้าย ถึงที่สุดแห่งธรรมนั่นน่ะ วิธีการต่างๆ เหล่านี้จึงได้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต่อแต่นี้ไป ไม่ว่าหยิบอะไร จะหยิบเหมือนช่างเจียระไนเพชร เจียระไนพลอย คือต้องเจียระไนให้ดีที่สุด เพราะเมื่อเราคิดอย่างนี้ หยิบอะไรแล้วต้องดีที่สุด วิชานี้ต้องถือว่าได้หลักการมาจากคุณยาย เพราะคุณยายใช้คําว่า “ของหยาบๆ ยังทําให้ละเอียดไม่ได้ แล้วของละเอียดอย่างวิชชาธรรมกาย จะไปทําได้อย่างไร”
มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อธัมมชโยท่านปรารภขึ้นว่า “ยังไงก็ตาม ก่อนตายจะฝึกผู้ที่มาวัดให้เข้าถึงวิชชาธรรมกายไปเยอะๆ”
คุณยายก็ถอนใจแล้วพูดกับท่านว่า “คนยุคนี้ใจหยาบนะ ไหวเหรอ จะตายเปล่านะท่านนะ”
ท่านก็ตอบยายไป “พระมาไม่ทันหลวงปู่วัดปากน้ำ ถ้าพระไม่คิดทำอย่างนี้ แล้วทำอย่างไรล่ะ พระจะได้บุญละเอียดๆ ตามหลวงปู่ท่านทันเหมือนอย่างที่ยายทันน่ะ มันก็ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันอย่างนี้แหละ"
ยายก็ว่า "ตามใจ แต่ยายบอกก่อนนะ เหนื่อยซี่โครงบานเลยละ"
เมื่อท่านมีปณิธานอย่างที่ว่ามานี้ โครงการต่างๆ ที่เราฟังแล้วแต่ละเรื่องเหลือเชื่อทั้งนั้น แต่ว่ากลายเป็นจริงได้ เพราะว่าก่อนที่ท่านจะตั้งโครงการ ท่านมองไปเป้าสุดท้ายคือชาติสุดท้ายที่จะถึงที่สุดแห่งธรรม แล้วค่อยแตกงานมาเป็นชื้นย่อยๆ ตามลำดับ
ปีนี้ หลวงพ่อธัมมชโยท่านคงเดินตามรอยยาย ตัวท่านเองก็จะอายุ ๖๐ ปีแล้ว ตั้งใจเก็บเสบียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้พอที่จะเลี้ยงตัวเอง แล้วก็เลี้ยงพวกเราที่ตามมาในภายหลัง จนกระทั่งไปให้ถึงจุดสุดท้าย เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงจุดนั้น ก็ขอให้พวกเรามาช่วยกันเตรียมเสบียงให้เต็มที่ ให้เป็นเสบียงต่อเสบียงไป ใครทำบุญของตัวเองเต็มที่แล้ว ก็ให้ไปทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้พ่อแม่พี่น้องพรรคพวกเพื่อนฝูงให้สมบูรณ์ จะได้เป็นเสบียงของส่วนรวมต่อไป ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ตราบใดยังต้องเวียนว่ายในวัฏสงสาร มาแก้นิสัยที่ไม่ดี มาสร้างบารมีกันอีก ก็ยังมีเสบียงให้สู้กันต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นเราคงจะได้ไปถึงที่สุดแห่งธรรมพร้อมๆ กันทุกคน
ขอให้ทุกท่านได้บุญเยอะๆ ในการบุญครั้งนี้ และขอให้บุญนี้จงส่งผลให้ได้สร้างบุญสร้างบารมีร่วมกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ไปทุกภพทุกชาติ ได้ช่วยกันปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษได้โดยง่ายตลอดไป ตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรม เทอญ
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***
คลิกบทความได้ที่นี่ https://dhamma-media.blogspot.com/2019/06/blog-post_24.html
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้ที่นี่
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ PDF
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ E-book
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้ที่นี่
- ผู้ให้...ย่อมได้รับ
- ศูนย์รวมใจสร้างบารมีไปเป็นทีม
- ใจมีแต่บุญ
- เราถูกบังคับให้รวย
- รอดตายเพราะบุญช่วย
- ตายแล้วฟื้น
- วันพระ วันสว่างของชาวโลก
- วิสัยหเศรษฐี
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ประจำเดือนของปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้ที่นี่
คลิกอ่านหรือดาวน์โหลดวารสารอยู่ในบุญประจำเดือนของแต่ละปี (ฉบับ PDF) ได้ที่นี่
ศูนย์รวมใจสร้างบารมีไปเป็นทีม
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
20:16
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: