หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๕)



วันที่  ๙  กันยายนที่ผ่านมา  ผู้เขียนและคณะนักวิจัยของสถาบันดีรี  (DIRI) เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจในโครงการสืบค้นวิจัยคำสอนดั้งเดิม  ณ  มหาวิทยาลัยวอชิงตัน  เมืองซีแอตเทิล  ประเทศสหรัฐอเมริกา  สืบเนื่องจากการลงนามสัญญาความร่วมมือทางวิชาการ  (MOU)  กับทางสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย  เพื่อร่วมประชุมกับ  ศาสตราจารย์ริชาร์ด  ซาโลมอน  และศาสตราจารย์คอลเล็ต  ค็อกซ์ กับคณะ  เเละถือโอกาสไปส่ง  ดร.ชนิดา  จันทราศรีไศล  (อาจารย์ลูก)  หลังจากกลับมาพักฟื้นฟูสุขภาพจากการทุ่มเทมุ่งมั่นในงานวิจัยมาอย่างต่อเนื่องตลอดมาเป็นเวลานาน   นับว่าเป็นบุคลากรหลักของสถาบันดีรีทีเดียว

ช่วงนี้เป็นช่วงปลายของการปิดภาคเรียนนักศึกษาเพิ่งจะทยอยกันกลับมาเตรียมความพร้อมในเทอมต่อไป และยังเป็นฤดูใบไม้ร่วง  (Fall)  จึงทำให้เมืองซีแอตเทิลดูซบเซาไปบ้าง  อย่างไรก็ตาม  คณะของเราอันมี ผู้เขียน, ศาสตราจารย์สุกัญญา  สุดบรรทัด, ดร.ศิริพร  ศิริขวัญชัย และ ดร.ชนิดา  จันทราศรีไศล กลับมีความกระตือรือร้นมาก  แม้การเดินทางจะยาวไกลใช้เวลาเกือบ ๒๐ ชั่วโมง ต่างก็ยังมีความสดชื่นเบิกบาน  ไม่มีใครรู้สึกเมาเครื่องบิน  ยิ่งได้พบหมู่คณะลูกพระธัมฯ (หลวงพ่อธัมมชโย  ผู้สถาปนาสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย  หรือ Dhammachai  International  Research Institute) คือพระครูภาวนาวิเทศ  เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายซีเเอตเทิล  และ พระปอเหม่า  ธมฺมฐิโต ที่ร่วมสนับสนุนการทำงานวิจัย  มาต้อนรับถึงสนามบินอย่างอบอุ่น  และจัดที่พักดูแลความเป็นอยู่อำนวยความสะดวกอย่างดีมาก  ก็ยิ่งมีความรู้สึกเบิกบาน  จึงขอขอบคุณอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ด้วย

อาคารที่เก็บข้อมูลปฐมภูมิ คือ คัมภีร์พุทธโบราณ
จำนวนมากที่รอการศึกษาและทำวิจัย

ทางมหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ให้เกียรติยกย่องจารึกชื่อ
"Dhammachai  International  Research  Inst."
ไว้ภายใน "หอเกียรติคุณ"

ผลของการประชุมสรุปว่า  การดำเนินการวิจัยที่ผ่านมามีผลงานความก้าวหน้า และขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง อนึ่ง  มหาวิทยาลัยนี้เป็นแหล่งที่มี ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Source) คือ  คัมภีร์พุทธโบราณเก่าเเก่อายุถึง ๒,๐๐๐ ปีเป็นจำนวนมาก  ที่รอคอยทีมงานสืบค้นวิจัยมาช่วยกันอ่านถอดความให้ปรากฏ  ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้สถาปนาสถาบันฯ  เคยกล่าวไว้  และมอบนโยบายให้หมู่คณะทุ่มเทศึกษาเเละอ่านคัมภีร์เหล่านั้นที่มีอยู่ให้รู้เรื่องทั้งหมด  เพื่อทำความจริงให้ปรากฏสู่สายตาชาวโลก และจะได้เป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนา  วิชชาธรรมกายสืบไป

พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. มอบหนังสือ
"สารัตถะ ศิลาจารึกในประเทศไทย" เล่มที่ ๒ และของที่ระลึก
แก่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยวอชิงตันเป็นธรรมบรรณาการ
สำหรับเรื่องที่มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกพ้นเขตชมพูทวีปไปสู่อาณาจักรต่าง ๆ รอบข้าง และประดิษฐานได้อย่างมั่นคง  ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  โดยเฉพาะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าไปในโยนกประเทศและคันธาระนั้น   ด้วยพุทธานุภาพจึงทำให้  มีการค้นพบหลักฐานคัมภีร์พุทธโบราณมากมาย ในเขตคันธาระเเละเอเชียกลางที่เมืองบามิยัน  ฮัดดา  กิลกิต  เป็นต้น  (ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศอัฟกานิสถานและประเทศปากีสถาน)  ดังนั้นจึงเป็นโอกาสทองที่ นักวิจัยของสถาบันฯ ได้ทำการศึกษาสืบค้นวิจัยจากข้อมูลปฐมภูมิเหล่านั้นด้วย  โดยอาศัยการสร้างความสัมพันธ์กับนักวิชาการอาวุโสที่มีชื่อเสียงระดับโลก  จนเกิดความคุ้นเคยและไว้เนื้อเชื่อใจ (วิสฺสาสปรมา ญาติ.) ต่อมาจึงมีการลงนามสัญญาเพื่อความร่วมมือทางวิชาการจนถึงปัจจุบันนี้  ซึ่งผู้เขียนจะได้นำผลงานที่นักวิจัยของสถาบันฯได้ทำสำเร็จด้วยดีแล้วมานำเสนอในฉบับต่อไป

ฉบับนี้ขอนำเสนอเรื่องราวของเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อจากตอนที่เเล้ว  โดยย้อนกลับมาในดินแดนพุทธภูมิ  ในแถบรัฐมหาราษฎร์  ซึ่งยังมีหลักฐานความมั่นคงของพระพุทธศาสนาคงเหลือให้เห็น ได้แก่  กลุ่มถ้ำที่ดัดแปลงจากผาหินธรรมชาติเป็นพุทธสถาน  เช่น  ถ้ำอชันตา  ถ้ำเอลโลลา  เป็นต้น

พุทธสถานถ้ำอชันตา  (Ajanta Caves) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๓๕๐  สมัยนั้นถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง  จึงมีการเจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นกุฏิ  พุทธเจดีย์และสถานที่ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ ประดับด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง  เล่าเรื่องราวในพุทธประวัติและชาดกต่าง ๆ

ถ้ำอชันตาหมายเลข ๙ พุทธศตวรรษที่ ๖
ที่มา http://sjoneall.net/big-galleries/india-2012-big/05-ajanta/slides/in12_021512470_j_r.jpg

ภายในถ้ำอชันตาหมายเลข ๑๓ กุฏิพระสงฆ์ พุทธศตวรรษที่ ๕-๖
ที่มา http://www.shunya.net/Pictures/South%20India/Ajanta/AjantaCaves31.jpg

ถ้ำที่ก่อสร้างในยุคแรก   สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย  โดยเจาะหินเข้าไปเป็นห้องโถงโล่ง ๆ ใช้เป็นที่นั่งสนทนาธรรม  พร้อมกับเจาะเป็นห้องนอน  ภายในมีเตียงหินห้องละ ๒ เตียง  ถ้ำอชันตาในยุคแรกยังไม่มีการแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูป

ถ้ำพุทธศาสนาลักษณะเรียบง่ายที่อชันตามีการสร้างเพิ่มเติมต่อมาอีกราว  ๒๐๐ ปี  จนถึงราวกลางพุทธศตวรรษที่   ก็ไม่ปรากฏร่องรอยการสร้างวัดถ้ำเช่นนั้นอีก  ต่อจากนั้นอีก  ๔๐๐  ปี  จึงกลับมามีการสร้างวัดถ้ำอีกครั้ง  ที่น่าสังเกต  คือ การสร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำดังกล่าวเพื่อสักการบูชาแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  สร้างขึ้นตามคตินิยมของฝ่ายมหายาน  จากการศึกษาภาพแกะสลักหินที่ยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในถ้ำนี้  ทำให้นักวิชาการสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของพระพุทธศาสนาในอินเดียเป็นรูปเป็นร่างได้มากขึ้น

ภาพสลักแสดงพระสถูปพระเจ้าอโศกที่อมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๕-๖ พิพิธภัณฑ์เชนไน อินเดีย
ที่มา http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/ce/Amaravati_Stupa_relief_at_Museum.jpg

เครื่องประกอบตกแต่งสถูปของพระมหาสถูป ศิลปะอมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๕-๖
พิพิธภัณฑ์เชนไน อินเดีย
ที่มา http://www.hoparoundindia.com/cityimages/andhra-pradesh/Amaravathi-Amaravati%20Museum-4.jpg

ภาพสลักพระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์และมีพระประสูติกาลเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งแสดงด้วย
สัญลักษณ์พระแท่นเปล่า ห้อมล้อมด้วยท้าวมหาราชทั้งสี่ ศิลปะอมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๕-๖
พิพิธภัณฑ์เชนไน  อินเดีย
ที่มา https://s-media-cache-ako.pinimg.com/originals/55/1d/oc/551doc14b72e4f085ab0774d485d9805.jpg

ภาพสลักพิมพาพิลาปและพระราหุลขอราชสมบัติ  ในภาพแสดงพระพุทธเจ้าด้วยบัลลังก์เปล่า
พนักบัลลังก์มีสัญลักษณ์ไตรรัตน์  ศิลปะอมราวดี  พุทธศตวรรษที่ ๕-๖ พิพิธภัณฑ์เชนไน  อินเดีย
ที่มา http://orias.berkeley.edu/visuals/buddha/11_1g.jpg


ภาพสลักพระพุทธเจ้าโปรดช้างนาฬาคิรี แสดงรูปพระพุทธเจ้ายกพระหัตถ์เหนือช้างตกมัน
ศิลปะอมราวดียุคหลัง  พุทธศตวรรษที่ ๙  พิพิธภัณฑ์เชนไน  อินเดีย
ที่มา http://s-media-cache-ak0.pinimg.com/

ทางตอนล่างด้านตะวันออกของอินเดียในแถบลุ่มแม่น้ำกฤษณะและแม่น้ำโคทาวรี   พระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานอย่างมั่นคงในเมืองอมราวดี  ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์สตวาหนะ  ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๔-๘  เมืองอมราวดีเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคนี้  หลักฐานทางโบราณคดีที่เหลืออยู่ชี้ให้เห็นว่า ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๕-๖  ภาพสลักที่แสดงถึงพระพุทธเจ้ามักแสดงด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่พระพุทธรูป เช่น  ดอกบัว  ธรรมจักร  สถูป  ต้นโพธิ์  หรือบัลลังก์  หลังจากนั้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๗-๘  จึงเริ่มนิยมแสดงถึงพระพุทธเจ้าด้วยพระพุทธรูป

พระภิกษุเสวียนจั้ง  หรือพระถังซำจั๋งได้เดินทางมาถึงเมืองอมราวดีใน พ.ศ. ๑๑๘๓  และได้พักศึกษาพระอภิธรรมและบันทึกถึงความรุ่งเรืองของสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาของดินแดนดังกล่าวเอาไว้

หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์สตวาหนะแล้ว  ราชวงศ์อานธรอิกศวากุ  ได้ปกครองดินแดนแถบนี้ระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่   ถึงพุทธศตวรรษที่ ๙  โดยตั้งเมืองหลวงที่เมืองวิชัยปุระหรือ นาคารชุนโกณฑะ สมาชิกฝ่ายสตรีในราชวงศ์นี้เป็นพุทธมามกะได้สร้างวิหารเทวีและวิหารสิงหลให้เป็นอาสนสถานของพระสงฆ์จากลังกา  และสร้างชัยตยฆระถวายแด่ฝ่ายพระเถรีจากลังกา  ความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาของลังกาและอินเดียแถบอานธรประเทศในยุคนี้มีความใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก

ต่อมาราชวงศ์ปัลลวะเข้ามาครอบครองดินแดนภาคใต้ของอินเดียในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙ ถึง ๑๕ มีเมืองกาญจิปุรัม เป็นเมืองหลวงในตอนบน  และเมืองมทุไรเป็นเมืองหลวงในตอนล่างของอาณาจักร  ในทำเนียบกษัตริย์ของราชวงศ์ปัลลวะ ซึ่งต้นราชวงศ์นับถือศาสนาพุทธ  มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า พุทธวรมัน ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๕๓ - ๑๑๕๓ พระเจ้านรสิงหวรมันที่ ๑ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๑๗๓-๑๒๑๑

พระภิกษุจีนเสวียนจั้งหรือพระถังซำจั๋งได้จาริกมาถึงเมืองกาญจิปุรัม  ท่านบันทึกไว้ว่ามีอารามในพระพุทธศาสนา ๑๐๐ แห่ง และมีพระสงฆ์กว่าพันรูป  นักปราชญ์สำคัญในศาสนาพุทธหลายท่านก็อาศัยอยู่ที่กาญจิปุรัมนี้  เช่นพระพุทธโฆษาจารย์  พระธรรมปาละ  หลังจากราชวงศ์ปัลลวะแล้ว  พระพุทธศาสนายังคงอยู่ในดินแดนแถบรัฐทมิฬนาฑูต่อไปจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐

สิ่งที่ควรค่าแก่การทราบไว้ประการหนึ่ง  คือ  ในราชวงศ์ปัลลวะนี้มีระบบอักษรชนิดหนึ่งพัฒนาขึ้นจากอักษรพราหมี เป็นที่รู้จักกันในชื่ออักษรปัลลวะ ได้มีการใช้ภาษาและอักษรปัลลวะบันทึกถ่ายทอดพระพุทธประวัติในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒  ซึ่งต่อมาพุทธประวัติฉบับนี้ได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นภาษาอาหรับ ซีเรีย  กรีก   ฮิบรู  เอธิโอเปีย   อาร์เมเนีย   และละติน  นอกจากนี้อักษรปัลลวะยังเป็นอักษรชนิดแรกที่ดินแดนสุวรรณภูมิรับมาใช้ในการจารึกบนหลักศิลาจารึกโบราณต่าง ๆ ทั้งจารึกในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์  พบว่าเริ่มใช้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒  เป็นต้นมา  อักษรปัลลวะนี้ได้เป็นต้นแบบอักษรต่าง ๆ เช่น อักษรชวา  กวิ  มอญ  พม่า  เขมร  อักษรธรรมล้านนา  อักษรไทย  ลาว ไทยลื้อ  ฯลฯ

พุทธสถานถวายแด่พระสงฆ์จากลังกา  นาคารชุนโกณฑะ
อานธรประเทศ  อินเดีย  พุทธศตวรรษที่ ๘-๙
ที่มา http://www.ixigo.com/nagarjunakonda-buddhist-stupas-andhra-pradesh-india-ne-3019462
โบราณวัตถุรวมถึงศิลาจารึกคาถาในพระพุทธศาสนาทั้งภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐาน  สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตลอดฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยตามเส้นทางการค้าขายในยุคพุทธศตวรรษที่  ๑๑-๑๒  นี้อย่างชัดเจน

เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังมีเนื้อหามากมายอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ผู้เขียนจะทยอยนำมาเสนอให้ทราบในฉบับต่อ ๆ ไป พร้อมกับจะนำผลงานของนักวิจัยสถาบันฯ  ที่ค้นพบหลักฐานคำสอนดั้งเดิม  ร่องรอยธรรมกายจากหลายแหล่งตามเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันมานำเสนอด้วย

Cr. พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๕) หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๕) Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:33 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.