สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๕ การบริหารจัดการองค์กรของพระบรมศาสดา


สร้างปัญญาเป็นทีม
ตามแบบฉบับของพระสารีบุตร
พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา
ตอนที่ ๕ การบริหารจัดการองค์กรของพระบรมศาสดา

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาและเหล่าพระอรหันต์ในช่วงแรกบุกเบิกนั้น ดําเนินไปในลักษณะสมบุกสมบัน คือ ค่ำไหนนอนนั่น นอนกลางดินกินกลางทราย ดํารงชีวิตเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่กินน้ำน้อย ทรหดอดทนเหมือนต้นกระบองเพชรกลางทะเลทราย

ครั้นต่อมาเมื่อมีผู้ศรัทธาเข้ามาบวชเป็นจํานวนมากมียอดรวมสมาชิกใหม่เพิ่มสูงขึ้น เรื่อย ๆ ทุกปีจากเดิมที่เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละไม่กี่ร้อยคนก็ทยอยเพิ่มขึ้นเป็นพันคนเป็นหมื่นคนต่อปี

๑. ปัญหาองค์กรขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อฐานสมาชิกขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ปัญหาการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะใหญ่จึงขยายตัวอย่างรวดเร็วตามไปด้วย เช่นปัญหาที่อยู่อาศัย ปัญหาการใช้สอยปัจจัย ๔ ปัญหาการกระทบกระทั่งกันเอง ปัญหาการเผยแผ่ธรรมะซึ่งขยายตัวตามจํานวนของสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้นปีละพันคนหมื่นคนต่อปี

ด้วยเหตุนี้ การบริหารจัดการแบบองค์กรใหญ่จึงถูกนํามาใช้งาน โดยพระองค์ยังทรงให้ยึดหลักการดำรงชีวิตแบบต้นไม้ใหญ่กินน้ำน้อยตามเดิม แต่ทรงเพิ่ม การบริหารจัดการองค์กรให้เหมาะสมแก่การฝึกปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้เป็นนิสัยแบบเป็นทีม เข้ามาใช้ในองค์กรด้วย

ขั้นต้นพระองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัยในด้านการบริหารปกครอง ด้านการบริโภคใช้สอยปัจจัย ๔ ด้านธรรมเนียมปฏิบัติของสงฆ์ ด้านการฝึกอบรมสมาชิกใหม่ เพิ่มเข้ามาอีกหลายประการ ทั้งนี้เพื่อลดการกระทบกระทั่งระหว่างสมาชิกเก่าและสมาชิกใหม่ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข เพื่อหล่อหลอมให้หมู่สงฆ์มีความสมัครสมานสามัคคี และเพื่อวางระบบการฝึกปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้เป็นนิสัยร่วมกัน เป็นทีมอย่างยั่งยืน

สิ่งที่น่าสนใจในการบริหารจัดการองค์กรใหญ่ก็คือ การผลักดันสมาชิกในองค์กรให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติเอาไว้ เพราะเป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ในแวดวงนักบริหารว่า การผลักดันสมาชิกองค์กรให้ปฏิบัติตามนโยบายนั้นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน ยิ่งถ้าเป็นการขับเคลื่อนองค์กรที่มีสมาชิกเป็นหมื่นเป็นแสนคนด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสโดนต่อต้านอย่างสาหัสสากรรจ์จากสมาชิกที่ปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบไม่ได้

๒. การผลักดันองค์กรสู่งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ในการผลักดันองค์กรให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนั้น พระองค์ทรงใช้วิธีผลักดันผ่านแนวทาง ๒ ประการ คือ

ประการที่ ๑ การหมุนธรรมจักรด้วยกําลังของพระองค์เอง นั่นคือ พระองค์ทรงผลักดันด้วยการแสดงธรรมพร่ำสอนอบรมสมาชิกองค์กรด้วยพระองค์เองโดยตรง

ประการที่ ๒ การหมุนธรรมจักรด้วยกําลังของกองทัพธรรม นั่นคือพระองค์ทรงผลักดันงานเผยแผ่ผ่านพระอรหันต์ชั้นผู้ใหญ่ที่เรียกว่า พระอสีติมหาสาวก ๘๐ รูป เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอานนท์ พระอนุรุทธะ เป็นต้น

ด้วยวิธีหมุนธรรมจักรทั้ง ๒ ประการนี้ ได้ส่งผลให้การประดิษฐานพระพุทธศาสนาเสร็จสมบูรณ์ในเวลาเพียง ๔๕ ปีแต่กลายเป็นการวางรากฐานให้พระพุทธศาสนามีอายุยืนยาวนับพันปี

๓. บทบาทหน้าที่ของพระอสีติมหาสาวก
พระอสีติมหาสาวกทั้ง ๘๐ รูป คือกําลังสำคัญในการผลักดันองค์กรให้ดําเนินไปตามพระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติไว้ทุกประการ ทั้งนี้ เพราะพระอรหันต์ชั้นผู้ใหญ่ทุกรูปเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเฉพาะตัวเพียบพร้อม ที่สําคัญคือ

๑) ท่านเป็น ต้นแบบ ความประพฤติที่ดีงามให้แก่สมาชิกองค์กรได้
๒) ท่านเป็น นักบริหาร จัดการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แทนพระองค์ได้อย่างยอดเยี่ยม
๓) ท่านเป็น ครูบาอาจารย์ ฝึกอบรมบ่มนิสัยรักการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แก่สมาชิกองค์กรแทนพระองค์ได้
๔) ท่านเป็น ที่ตั้งแห่งศรัทธา ของประชาชน ใครเห็นก็อยากทําบุญ ทําให้เกิดกองเสบียงเลี้ยงสมาชิกองค์กรที่อยู่ประจําวัดในแต่ละท้องถิ่นนั้น
๕) ท่านหมั่น ตรวจตราดูแลสุขทุกข์ ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคมพุทธและความมั่นคงปลอดภัยให้แก่พระพุทธศาสนา

จากความสามารถเฉพาะตัวเหล่านี้ของพระอสีติมหาสาวกทั้ง ๘๐ รูปทําให้การผลักดันนโยบายต่าง ๆ กฎระเบียบต่าง ๆ ให้สมาชิกในองค์กรปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ได้รับความร่วมมืออย่างดีและหากมีปัญหาใดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ท่านก็สามารถเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์จัดการแก้ไขได้อย่างมีหลักเกณฑ์และทันท่วงทีส่งผลให้การบรรลุธรรมของสมาชิก องค์กรทั้งเก่าและใหม่มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และงานเผยแผ่ก็ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วเป็นร้อยเท่าพันเท่าของยุคบุกเบิก

๔. ขั้นตอนการบริหารจัดการองค์กรโดยย่อ
หากกล่าวโดยสรุปก็คือ การที่พระองค์ทรงหมุนธรรมจักรได้ด้วยกําลังของกองทัพธรรม โดยไม่มีอุปสรรคปัญหาใดจะมาหยุดยั้งลงได้นั้น ก็ล้วนเป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่ดีนั่นเอง ซึ่งพอจะสรุปภาพรวมเป็นขั้นตอนโดยย่อได้ดังนี้

๑) ทรงวางเป้าหมายการเผยแผ่ไว้ที่การดับทุกข์ให้ชาวโลก
๒) ทรงวางระเบียบวินัยในการปกครององค์กรไว้อย่างครบถ้วนและชัดเจน
๓) ทรงวางระบบฝึกสมาชิกใหม่ให้มีนิสัยรักการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ร่วมกันเป็นทีมอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
๔) ทรงปลูกฝังให้สมาชิกองค์กรมีความเคารพในธรรมวินัยเสมือนเป็นศาสดาแทนพระองค์เพราะความเคารพเป็นคุณธรรมสําคัญที่ทําให้พระพุทธศาสนามีอายุยืนยาว หากขาดคุณธรรมนี้เมื่อใดอายุพระพุทธศาสนาจะสั้นลงทันที
๕) ทรงติดตามเคี่ยวเข็ญอบรมสมาชิกองค์กรทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ให้ทุ่มเทฝึกปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้เป็นนิสัยต่อไปไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุธรรม
๖) ทรงกระจายงานให้พระอสีติมหาสาวกทําหน้าที่บริหารจัดการและตรวจตรางานต่าง ๆ แทนพระองค์ ทำให้ธรรมจักรหมุนไปด้วยแสนยานุภาพของกองทัพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่าการหมุนธรรมจักรไปโดยกําลังตามลําพังของพระองค์เพียงผู้เดียว
๗) เมื่อใดที่เกิดปัญหาร้ายแรงซึ่งเกินกําลังของหมู่คณะพระองค์จะทรงลงมาจัดการแก้ไขปัญหานั้น ๆ ด้วยพระองค์เอง

ด้วยวิธีบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพเช่นนี้ แม้พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว สาวกรุ่นหลังก็ยังคงสามารถอาศัยการบริหารจัดการองค์กรของพระองค์เป็นแนวทางผลักดันสมาชิกองค์กรให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่บัญญัติไว้ดีแล้วธรรมจักรของพระองค์จึงยังคงหมุนต่อไปไม่หยุดด้วยกําลังของกองทัพธรรมที่สร้างขึ้นมาทดแทนกันได้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งนั่นเอง

Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๕ การบริหารจัดการองค์กรของพระบรมศาสดา สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๕ การบริหารจัดการองค์กรของพระบรมศาสดา Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 02:42 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.