สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๗ ต้นแบบการหมุนธรรมจักรเป็นทีม (ต่อ)


สร้างปัญญาเป็นทีม
ตามแบบฉบับของพระสารีบุตร
พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา
ตอนที่ ๗ พระสารีบุตร : ต้นแบบการหมุนธรรมจักรเป็นทีม (ต่อ)
-------------------------------------------------------

พระมหาสาวกกล่าวยกย่องปัญญาของพระสารีบุตร

นอกจากได้รับคำยกย่องชื่นชมจากพระบรมศาสดาแล้ว พระอรหันต์หลายรูปที่เคารพรัก คุณธรรมของพระสารีบุตร ก็กล่าวยกย่องคุณธรรมของท่านไว้อย่างมากมาย

๑) พระวังคีสะ ผู้เป็นเลิศด้านปฏิภาณยกย่องว่า พระสารีบุตรเป็นนักปราชญ์

พระสารีบุตรเป็นนักปราชญ์ มีปัญญาลึกซึ้ง ฉลาดในทางและมิใช่ทาง มีปัญญามากย่อมแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย แสดงโดยย่อก็ได้ แสดงโดยพิสดารก็ได้

เสียงของท่านไพเราะดังก้องเหมือนเสียงนกสาลิกา ปฏิภาณเกิดขึ้นโดยไม่รู้สิ้นสุด เมื่อท่านแสดงธรรมอยู่ ภิกษุทั้งหลายย่อมฟังเสียงอันไพเราะ เป็นผู้ปลื้มจิตยินดีด้วยเสียงอันไพเราะ น่ายินดี น่าฟัง เงี่ยโสตอยู่

๒) พระปุณณมันตานีบุตร ผู้เป็นเลิศด้านธรรมกถึก ยกย่องว่า พระสารีบุตรมีปัญญาลึกซึ้งรู้ทั่วถึงธรรมของพระบรมศาสดา เป็นลาภอย่างยิ่งที่ได้นั่งใกล้

น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ปัญหาอันลึกซึ้งที่ท่านสารีบุตรเลือกเฟ้นมาถามแล้ว ด้วยปัญญาอันลึกซึ้งตามอย่างพระสาวกผู้ได้สดับแล้ว รู้ทั่วถึงคำสอนของพระบรมศาสดา โดยถ่องแท้จะพึงถาม ฉะนั้น เป็นลาภอย่างมากของเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายได้ดีแล้วที่ได้พบเห็น ได้นั่งใกล้ท่านพระสารีบุตร

๓) พระอานนท์ ผู้เป็นเลิศด้านพุทธอุปัฏฐากยกย่องว่า พระสารีบุตรเป็นผู้กล่าวธรรมภาษิต ดุจเดียวกับพุทธพจน์จากพระโอษฐ์ของพระบรมศาสดา

ดูก่อนท่านสารีบุตรผู้มีอายุ เมื่อกี้นี้ กระผมเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทูลถามเนื้อความอันนี้ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงพยากรณ์เนื้อความอันนี้ ด้วยบทเหล่านี้ ด้วยพยัญชนะเหล่านี้แก่กระผม เหมือนที่ท่านพระสารีบุตรพยากรณ์

ดูก่อนท่านสารีบุตรผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาแล้ว การที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของพระศาสดาและของพระสาวกเปรียบเทียบกันได้ เสมอกัน ไม่ผิดกัน ในบทที่เลิศนี้

๔) พระโมคคัลลานะ ผู้เป็นเลิศด้านมีฤทธิ์มาก ยกย่องว่า พระสารีบุตรเป็นผู้มีฤทธิ์มาก

ค่ำวันหนึ่ง พระสารีบุตรนั่งเข้าสมาธิอยู่กลางแจ้ง (พำนักอยู่กับพระโมคคัลลานะที่กโปตกันทราวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์) ขณะนั้นยักษ์สองตนเหาะผ่านมาแลเห็นพระสารีบุตรนั่งอยู่ ยักษ์ตนหนึ่งเคยผูกอาฆาตพระเถระไว้ในชาติก่อน ใช้กำปั้นทุบลงบนศีรษะของพระเถระเต็มแรง กำลังที่ตีลงมานั้นสามารถทุบพญาช้างสูง ๘ ศอกให้จมหายลงดินได้ในคราวเดียว สามารถทุบทำลายยอดภูเขาใหญ่ให้พินาศได้ในพริบตา

ยักษ์ตนนั้นเมื่อทำร้ายพระอรหันต์ บาปที่ทำร้ายผู้มีคุณธรรมมาก ได้โหมไหม้จนเกิดความเร่าร้อนดุจไฟเผาขึ้นทั่วร่าง แล้วตกลงไปสู่อเวจีมหานรกทันที

พระโมคคัลลานะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตาทิพย์ จึงรีบมาหาพระสารีบุตรที่ขณะนั้นเพิ่งออกจากสมาบัติ พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวให้ฟัง อาวุโส เมื่อครู่ยักษ์ตีศีรษะของท่านด้วยกำลังแรงกล้า ท่านยังพออดพอทนได้หรือ ท่านไม่มีทุกข์อะไร ๆ เกิดขึ้นบ้างหรือ

พระสารีบุตรก็ตอบว่า ผมยังพออดทนได้อยู่ ร่างกายยังเป็นปกติดีอยู่ แต่บนศีรษะของผมรู้สึกเจ็บ ๆ นิดหน่อย

พระโมคคัลลานะได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวยกย่องชื่นชมว่า พระสารีบุตรเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก แม้ถูกยักษ์ทุบทำร้ายอย่างรุนแรง ก็เพียงเจ็บศีรษะนิดหน่อยส่วนพระสารีบุตร ก็กล่าวชมพระโมคคัลลานะว่า เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เพราะท่านมองไม่เห็นแม้ปีศาจสักตัว (พระสารีบุตรกล่าวเช่นนั้นด้วย
อำนาจความมักน้อยของท่าน เพราะในขณะที่ยักษ์ตี ท่านกำลังเข้าสมาบัติอยู่ ท่านจึงไม่ได้สอดญาณดูด้วยตาทิพย์ ทำให้ไม่เห็นยักษ์)

๕) พระมหาสาวกชั้นผู้ใหญ่ชอบฟังพระสารีบุตรแสดงธรรม

สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ป่าโคสิงคสาลวัน พร้อมด้วยพระมหาสาวกผู้มีชื่อเสียงหลายรูป คือ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธะ พระเรวตะ พระอานนท์ และพระมหาสาวกผู้มีชื่อเสียงรูปอื่น ๆ อีก

ครั้งนั้น พระมหาโมคคัลลานะออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็นแล้ว ชวนพระมหากัสสปะไปหาพระสารีบุตรเพื่อฟังธรรม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พระอนุรุทธะไปหาพระสารีบุตรเพื่อฟังธรรมเช่นกัน

ลำดับนั้น พระอานนท์เห็นพระมหาสาวกทั้ง ๓ รูป เข้าไปหาพระสารีบุตร จึงไปชวนพระเรวตะ (ผู้เลิศด้านฌานสมาบัติ) เข้าไปหาพระสารีบุตรเพื่อฟังธรรมด้วยกัน

เมื่อพระมหาสาวกทั้ง ๕ รูป มาพร้อมหน้ากันแล้ว พระสารีบุตรก็ตั้งหัวข้อธรรมขึ้นว่า ป่าโคสิงคสาลวันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละงามมีดอกบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์สุคนธ์หอมฟุ้งไปทั่วป่าอันน่ารื่นรมย์เช่นนี้ จะพึงงดงามด้วยภิกษุเช่นไร ?

ลำดับนั้น พระมหาสาวกทั้ง ๕ รูป ก็ทยอยตอบคำถามหัวข้อธรรมนี้ทีละรูปตามความชำนาญของตน

พระอานนท์ชำนาญในพหูสูตจึงตอบว่า ป่าพึงงามด้วยภิกษุผู้เป็นพหูสูต

พระเรวตะชำนาญในฌานสมาบัติจึงตอบว่า ป่าพึงงามด้วยภิกษุผู้เข้าฌานสมาบัติ

พระอนุรุทธะชำนาญในตาทิพย์จึงตอบว่า ป่าพึงงามด้วยภิกษุผู้ตรวจดูโลกด้วยตาทิพย์

พระมหากัสสปะชำนาญในธุดงควัตรจึงตอบว่า ป่าพึงงามด้วยภิกษุผู้อยู่ธุดงค์เป็นวัตร

พระมหาโมคคัลลานะชำนาญในฤทธิ์จึงตอบว่า ป่าพึงงามด้วยภิกษุ ๒ รูป ผลัดกันถามตอบปัญหาอภิธรรมโดยไม่ต้องหยุดพัก

เมื่อพระมหาสาวกทั้ง ๕ รูป ตอบคำถามแล้ว พระมหาโมคคัลลานะจึงถามความเห็นของพระสารีบุตรบ้าง ซึ่งท่านตอบว่า ป่าพึงงามด้วย ภิกษุผู้เข้าวิหารสมาบัติ ได้ตามใจปรารถนา ทั้งเวลาเช้า เวลาเที่ยง เวลาเย็น

ลำดับนั้น เมื่อพระมหาสาวกทุกรูปตอบคำถามตามความชำนาญของแต่ละท่านแล้ว ก็ชักชวนกันไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทูลถามปัญหานี้ หลังจากทรงฟังพระสารีบุตรกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแล้ว พระพุทธองค์ทรงชื่นชมคำตอบของพระมหาสาวกทุกรูปว่า เป็นสุภาษิต แล้วตรัสตอบว่า

ป่าพึงงามด้วยภิกษุผู้กลับจากบิณฑบาต ฉันภัตตาหารแล้ว นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้าว่า หากจิตของเรายังไม่หมดความยึดมั่นถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นกิเลสอาสวะ เราจะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์” (ซึ่งก็คือการบำเพ็ญเพียรแบบอุทิศชีวิตเช่นเดียวกับวันที่พระองค์ตรัสรู้ธรรม)

พระมหาสาวกได้ฟังคำตอบของพระพุทธองค์แล้ว ต่างชื่นชมพระภาษิตของพระองค์เป็นอันมาก 

จากตัวอย่างคำยกย่องพระสารีบุตรของพระอรหันต์ที่ยกมาแสดงนี้ จะเห็นได้ว่าพระสารีบุตรเป็นที่รักเคารพของหมู่สงฆ์เป็นอันมาก บางท่านเคารพรักในฐานะเพื่อนสหธรรมิก บางท่านเคารพรักในฐานะครูอาจารย์ บางท่านเคารพรักในปัญญาความรู้ความสามารถ บางท่านเคารพรักในคุณธรรมความดีงาม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นความเคารพรักในแง่มุมใด สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการเป็นที่ยอมรับในฐานะของพระธรรมเสนาบดีผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ซึ่งหาได้ยากที่จะมีพระมหาสาวกรูปใดได้รับการยกย่องชื่นชมอย่างมากมายจากเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งกองทัพธรรมเหมือนกับท่านเช่นนี้



Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๗ ต้นแบบการหมุนธรรมจักรเป็นทีม (ต่อ) สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๗ ต้นแบบการหมุนธรรมจักรเป็นทีม (ต่อ) Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 03:18 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.