สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๓ วิธีแก้ปัญหาโลกวุ่นวาย
สร้างปัญญาเป็นทีม
ตามแบบฉบับของพระสารีบุตร
พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา
ตอนที่ ๓ วิธีแก้ปัญหาโลกวุ่นวาย
แม้เราจะได้ทราบหลักการแก้ปัญหาแล้ว แต่ก็อาจมีบางท่านสงสัยว่า
เมื่อถึงคราวปฏิบัติจริง หลักการของพระพุทธองค์จะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ การขจัดความสงสัยในเรื่องนี้ จึงต้องดูว่า
พระองค์ทรงสอนวิธีสร้างปัญญาผ่านการฝึกนิสัยไว้อย่างไร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้ไว้ใน “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ซึ่งเป็นปฐมเทศนาที่เป็นแม่บทของคำสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
พระสูตรนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เพราะ ตลอด ๔๕ พรรษา
ที่พระองค์ทรงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ นั้น
ล้วนเป็นการแสดงธรรมเพื่ออธิบายขยายความธัมมจักกัปปวัตนสูตรทั้งสิ้น
การที่พระองค์ทรงแสดงพระปฐมเทศนาบทนี้เป็นครั้งแรกจบลงแล้ว
ถึงแม้หลังจากนั้นตลอดพระชนม์ชีพจะมิได้ทรงแสดงธรรมบทอื่นเพิ่มอีกเลย ก็ถือได้ว่า
คำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนาได้รับการปักหลักอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้ เรียกโดยย่อว่า “ธรรมจักร” เป็นพระปฐมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรกของโลก
เพื่อโปรดกลุ่มนักบวชปัญจวัคคีย์ ซึ่งมีสมาชิก ๕ ท่าน หลังจากการแสดงพระปฐมเทศนาจบลง
หัวหน้ากลุ่มของปัญจวัคคีย์คือท่านอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
กลายเป็นพยานการตรัสรู้ธรรมคนแรกของโลก
ในวันต่อ ๆ มา
พระองค์ทรงแสดงปกิณกธรรมเพื่อขยายความธัมมจักกัปปวัตนสูตรเพิ่มเติมอีก
พระปัญจวัคคีย์ที่เหลือก็ทยอยบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันครบทุกรูป
วันต่อมาพระองค์ได้ทรงแสดง อนัตตลักขณสูตร
(ซึ่งเป็นธรรมปฏิบัติขั้นสูงสำหรับพระโสดาบัน) แก่พระปัญจวัคคีย์
ยังผลให้พระปัญจวัคคีย์ทั้งหมดบรรลุอรหัตผล
เป็นผู้ดับทุกข์ดับกิเลสได้สำเร็จสมบูรณ์ และเป็นพระอรหันตสาวก ๕
รูปแรกในพระพุทธศาสนา
สำหรับวิธีสร้างปัญญาดับทุกข์ผ่านการฝึกนิสัยดี
ๆ นั้น พระองค์ตรัสแสดงไว้ในเนื้อหาส่วนที่เรียกว่า “มรรคมีองค์ ๘” ของธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ซึ่งประกอบด้วยหลักปฏิบัติ ๘ ประการ เพื่อการสร้างปัญญาดับทุกข์จากง่ายไปหายาก
จากระดับสามัญไปสู่ระดับสูงสุด โดยเริ่มจากการฝึกนิสัยที่ดีก่อน ได้แก่
๑. สัมมาทิฐิ คือ
ความเข้าใจถูกในเรื่องการดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ได้แก่
๑.๑ หลักการดำเนินชีวิตให้เป็นสุขในชาตินี้
คือ มีความเข้าใจถูกว่า ชีวิตในชาตินี้เป็นสุขได้ด้วยหลักปฏิบัติ ๔ ประการ
(๑)
การแบ่งปันกันและกันมีผลดีจริง
(๒)
การสงเคราะห์ช่วยเหลือกันและกันเป็นผลดีจริง
(๓)
การยกย่องคนดีมีผลดีจริง
(๔)
การทำกรรมดีกรรมชั่วมีผลจริง
๑.๒ หลักการดำเนินชีวิตให้เป็นสุขในชาติหน้า
คือ มีความเข้าใจถูกว่า
(๑)
โลกนี้มีที่มา คือ สภาวะของผู้ที่มาเกิดในโลกนี้ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ
(๒)
โลกหน้ามีที่ไป คือ ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วย่อมไปเกิดอีก
สภาวะที่เกิดใหม่ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ในชาตินี้
(๓)
มารดามีพระคุณ การปรนนิบัติดีหรือชั่วต่อท่านมีผลจริง
(๔)
บิดามีพระคุณ การปรนนิบัติดีหรือชั่วต่อท่านมีผลจริง
(๕)
สัตว์ที่ตายแล้วเกิดขึ้นอีกและโตทันทีโดยอาศัยอดีตกรรม เช่น สัตว์นรก เปรต
เทวดามีอยู่จริง
ดังนั้น
ชีวิตในชาติหน้าจะเป็นสุขได้ก็เพราะกรรมดีที่เราสร้างไว้ในชาตินี้
ถ้าสร้างบุญไว้น้อย อุปสรรคชีวิตในชาติหน้าก็มาก
ถ้าสร้างบุญไว้มาก อุปสรรคชีวิตในชาติหน้าก็น้อย เพราะเราคือผู้ออกแบบชีวิตด้วยผลกรรมดีกรรมชั่วของตัวเราเอง
๑.๓ หลักการดำเนินชีวิตเพื่อสุขอันไพบูลย์ คือ มีความเข้าใจถูกว่า
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารโดยการตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง และสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตามมีอยู่จริง
การศึกษาและตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เป็นทางหลุดพ้นทุกข์จากวัฏสงสารคือการเวียนว่ายตายเกิดได้จริง
ความเข้าใจถูกอันเป็นสัมมาทิฐินี้ทำให้เกิดความเข้าใจถูกเรื่องความจริงของชีวิตที่ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
สถานการณ์ของชีวิตที่ตกอยู่ภายใต้การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร และการดำเนินชีวิตเพื่อกำจัดทุกข์ให้หมดสิ้นไป
จึงได้ก่อให้เกิดวิธีฝึกตนเพื่อสร้างปัญญาดับทุกข์ ผ่านการปฏิบัติมรรคมีองค์
๘ ข้อที่ ๒-๘ ตามมา
๒. สัมมาสังกัปปะ ความคิดถูก คือ คิดทางกุศล
ได้แก่ คิดในเรื่องการออกจากบาป ไม่คิดหมกมุ่นในกาม ไม่คิดพยาบาท ไม่คิดเบียดเบียน ย่อมทำให้ลดความทุกข์ที่เกิดจากความคิดผิด
ๆ เพราะถูกกิเลสบีบคั้นใจ
๓. สัมมาวาจา การพูดถูก ได้แก่ ไม่พูดปด
ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ย่อมทำให้ลดความทุกข์จากการพูดผิด ๆ
เพราะถูกปัญหาการอยู่ร่วมกันบีบคั้น
๔. สัมมากัมมันตะ การประพฤติถูก ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม ย่อมทำให้ลดความทุกข์จากการประพฤติผิด
ๆ เพราะถูกปัญหาการอยู่ร่วมกันบีบคั้น
๕. สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพถูก คือ การไม่ประกอบอาชีพที่ผิดศีลผิดธรรม ทั้งไม่ส่งเสริมสนับสนุนอาชีพเช่นนั้น
เช่น ไม่ค้าอาวุธ ไม่ค้ามนุษย์ ไม่ค้าชีวิตสัตว์เพื่อฆ่าไม่ค้าน้ำเมา ไม่ค้ายาพิษ ฯลฯ ย่อมทำให้ลดความทุกข์จากการเลี้ยงชีพผิด
ๆ เพราะถูกปัญหาการเลี้ยงชีพบีบคั้น
๖. สัมมาวายามะ คือ การประกอบความเพียรถูก
ได้แก่ เพียรป้องกันไม่ให้บาปอกุศลใหม่เกิดขึ้น เพียรกำจัดบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้สิ้นไป
เพียรสร้างกุศลใหม่ที่ยังไม่เกิดขึ้น เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วในขณะที่กำลังปฏิบัติสัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทำให้สามารถยกระดับกำลังใจให้มีความเข้มแข็งในการทำความดีอย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือปัญหาใด
ๆ ที่เกิดขึ้นได้
เมื่อการประกอบความเพียรทั้ง ๔ ประการนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า
ย่อมทำให้การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ในข้อที่ ๑-๕ มีความชำนาญขึ้น
ความทุกข์ที่ถูกบีบคั้นจากปัญหาสุขภาพ ปัญหาการอยู่ร่วมกัน ปัญหาการเลี้ยงชีพ
และปัญหากิเลสบีบคั้น จึงถูกสัมมา-วายามะกำจัดให้ลดลง ส่งผลให้ชีวิตมีความสุขจากการปฏิบัติมรรคมีองค์
๘ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นความชำนาญในการใช้ปัญญาดับทุกข์
และกลายเป็นนิสัยรักการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ขึ้นมาในชีวิตประจำวัน
๗. สัมมาสติ คือ การระลึกถูก ได้แก่ การระลึกรู้อารมณ์ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจที่มากระทบ
ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์นั้น ทำให้ใจสงบนิ่ง ทำให้มีใจหนักแน่น ไม่ขุ่นมัวง่าย ๆ ไม่คิดฟุ้งซ่านง่าย ๆ ไม่รักใคร
โกรธใคร หลงใครง่าย ๆ ไม่เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้มง่าย ๆ ย่อมทำให้การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘
ในข้อที่ ๑-๖ ดียิ่งขึ้น ชำนาญยิ่งขึ้น
แก่กล้ายิ่งขึ้นจนเกิดเป็นปัญญาที่รู้เท่าทันทุกข์ จนกลายเป็นนิสัยดี ๆ
ที่ฝังลึกยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ความทุกข์เก่าถูกกำจัดทิ้งออกไป ส่วนความทุกข์ใหม่ก็แทรกเข้ามาไม่ได้
ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากปัญหาสุขภาพ ปัญหาการอยู่ร่วมกัน ปัญหาการเลี้ยงชีพ
ปัญหากิเลสบีบคั้น จึงยากจะรั่วรดแทรกซึมเข้ามาบีบคั้นใจ การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘
ข้อที่ ๑-๖ จึงทับทวีความแก่กล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก เพราะมีสัมมาสติทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าระวังรักษาใจไว้ตลอดเวลานั่นเอง
๘. สัมมาสมาธิ คือ จิตตั้งมั่นถูก
ได้แก่ สภาวะใจที่หยุดนิ่งสนิทสมบูรณ์อยู่ที่ศูนย์กลางกายอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ข้อที่ ๑-๗ ในขณะดำเนินชีวิตประจำวันจนกลายเป็นนิสัย
ไม่ว่าความทุกข์ใด ๆ ก็ไม่สามารถบีบคั้นให้ใจขุ่นมัวเศร้าหมองได้ ถึงคราวลงมือนั่งหลับตาบำเพ็ญสมาธิภาวนา
ใจที่ใส เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว
จึงเป็นเหตุให้ใจถูกกลั่นด้วยอำนาจสมาธิอย่างต่อเนื่องได้ง่าย ทำให้เกิดความสะอาด
ความสว่าง ความสงบ เพิ่มขึ้นในใจมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับ ๆ เป็นเหตุให้เกิดการบรรลุธรรมไปตามลำดับ
ๆ ย่อมทำให้ทุกข์ดับไปตามลำดับ ๆ จนกระทั่งเมื่อใดที่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดของการปราบกิเลส
คือ อรหัตผล เมื่อนั้นก็จะปราบกิเลสได้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ดับทุกข์ได้หมดสิ้น
การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ จึงสำเร็จสมบูรณ์
เมื่อเราได้ศึกษาเรื่องมรรคมีองค์ ๘ มาถึงตรงนี้
ก็ทำให้ทราบว่า การฝึกปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้เป็นนิสัยนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การสร้างปัญญาดับทุกข์ให้ตัวเราเท่านั้น
แต่ยังเป็นการช่วยดับปัญหาทุกข์ให้แก่โลกอีกด้วย ทั้งนี้เพราะในขณะที่เรากำลังฝึกปฏิบัติมรรคมีองค์
๘ ให้เป็นนิสัยอยู่นั้น ยิ่งฝึกก็จะยิ่งเกิดความมั่นใจว่า ๑) เราไม่ได้กำลังเพิ่มทุกข์ให้ตนเอง
๒) เราไม่ได้กำลังก่อปัญหาความวุ่นวายให้แก่โลก ๓) ทุกสิ่งที่คิด ทุกอย่างที่ทำ ทุกคำที่พูดนั้น ล้วนกำลังสร้างสรรค์ความสงบร่มเย็นให้เกิดขึ้นในโลกนี้
๔) ไม่ว่าเราไปอยู่ที่แห่งใด ที่แห่งนั้นจะมีแต่ความสงบสุขเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐
สร้างปัญญาเป็นทีม ตอนที่ ๓ วิธีแก้ปัญหาโลกวุ่นวาย
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
19:38
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: