ลังกาทวีป ประทีปพุทธธรรม (ตอนที่ ๑)
ณ มหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ
นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอนุทวีปอินเดีย
เป็นที่ตั้งของเกาะรูปร่างคล้ายหยดน้ำชื่อ “ลังกาทวีป”
หรือที่รู้จักในปัจจุบันว่าประเทศศรีลังกา เกาะแห่งนี้มีชื่อเรียกหลากหลายแตกต่างกันไปตามสมัยของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์แห่งภัทรกัปนี้
ในสมัยพระกกุสันธพุทธเจ้าเรียกว่า โอชทีปะ สมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้าเรียกว่า วรทีปะ
และสมัยพระกัสสปพุทธเจ้าเรียกว่า มัณฑทีปะ ส่วนชื่อที่เป็นที่รู้จักกันมาก คือ “ลังกาทวีป”
และ “ลงกา” ตามมหากาพย์รามายณะ
มหากาพย์ของอินเดียซึ่งประพันธ์ด้วยภาษาสันสกฤตเป็นบทร้อยกรองประเภทฉันท์
ประชากรส่วนใหญ่ของศรีลังกาเป็นชาวสิงหลราวร้อยละ
๗๐ ของประชากรทั้งหมด นับถือพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการหยั่งรากลึกของพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องมายาวนานหลายพันปี
ดังปรากฏเรื่องราวบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ในพงศาวดารที่เก่าแก่ของลังกา
คือพระคัมภีร์ทีปวงศ์และพระคัมภีร์มหาวงศ์
ที่บันทึกตำนานการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป ซึ่งนักวิชาการมีความเห็นว่า “ทีปวงศ์”
น่าจะแปลว่า วงศ์อันรุ่งเรืองเช่นดวงประทีปหรือวงศ์อันเป็นประดุจดวงประทีป
อันหมายถึง วงศ์แห่งพระพุทธเจ้าต้นฉบับพระคัมภีร์ทีปวงศ์เป็นอักษรสิงหลภาษาบาลี
ไม่ปรากฏหลักฐานว่ารจนาขึ้นเมื่อใดและใครเป็นผู้ประพันธ์
แต่เชื่อว่าเป็นผลงานที่มีจุดเริ่มต้นจากการสืบทอดการทรงจำแบบปากต่อปาก
ที่เรียกว่า “มุขปาฐะ” จากนั้นจึงบันทึกเรื่องราวเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยผู้ประพันธ์หลายคน ภาษาที่ใช้ในการประพันธ์
จึงไม่สละสลวยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่าที่ควร
ต่อมา ราวคริสต์ศตวรรษที่ ๕
พระมหาเถระมหานามะแห่งอนุราธปุระได้รจนาพระคัมภีร์มหาวงศ์ขึ้นอีกเล่มหนึ่งในรูปแบบคาถา
โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งเดียวกับพระคัมภีร์ทีปวงศ์
โดยเฉพาะข้อมูลจากคัมภีร์สีหลมหาวังสัตถกถา ของคณะสงฆ์สำนักมหาวิหาร
ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยอันยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
ดังนั้นเนื้อหาของพระคัมภีร์ทีปวงศ์และพระคัมภีร์มหาวงศ์จึงเหมือนกันมาก
มีเพียงลำดับเรื่องที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เนื่องจากพระคัมภีร์มหาวงศ์ถือเป็นวรรณกรรมภาษาบาลีที่มีความสำคัญที่สุดเล่มหนึ่ง
ต้นฉบับเดิมอักษรสิงหลจึงได้รับการถ่ายถอด (transliterate : แปลงตัวเขียนจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง)
เป็นอักษรต่าง ๆ รวมทั้งอักษรขอม ซึ่งเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ที่ในอดีตมักใช้บันทึกเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ฉบับที่ค้นพบโดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร เป็นพระคัมภีร์ทีปวงศ์ฉบับรองทรง
มีอายุอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เนื้อหาของพระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยการเสด็จเยือนลังกาทวีปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓
ครั้ง ดังนี้
การเสด็จเยือนครั้งแรก คือเดือนที่ ๙
หลังการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเล็งเห็นด้วยทิพยจักษุว่า
ลังกาทวีปเป็นป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ เดิมเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์
แต่ต่อมาถูกหมู่ยักษ์และรากษสผู้มีใจโหดเหี้ยมดื่มกินโลหิตเป็นอาหารเข้ามาครอบครอง
พระองค์ทรงดำริที่จะทำให้เกาะลังกากลับมาเป็นที่อยู่ของเหล่ามนุษย์ตามเดิม
ด้วยทรงเห็นว่าในอนาคตพระพุทธศาสนาจะเจริญ ณ ดินแดนแห่งนี้
จึงเสด็จจากตำบลอุรุเวลาไปปราบเหล่าอมนุษย์ โดยทรงแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ให้เป็นที่ประจักษ์
ทรงบันดาลฝนห่าใหญ่ให้ตกและลมเย็นจัดให้พัดไม่ขาดสาย
ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยความมืดมนอนธการ
จากนั้นก็ทรงบันดาลให้อากาศร้อนจัดราวกับมีพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน ๗ ดวง
แม้แต่แผ่นหนังอันเป็นที่ประทับของพระองค์ก็ลุกเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงโชติช่วง
เหล่ายักษ์และรากษสเห็นพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ
ต่างก็แตกตื่นวิ่งหนีอย่างไร้ทิศทางด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นพระองค์ก็ทรงบันดาลเกาะคิรีทีปะที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
เพื่อให้เหล่าอมนุษย์หลบหนีออกจากเกาะลังกาและใช้เกาะนี้เป็นที่อยู่อาศัยต่อไปอย่างผาสุก
การเสด็จเยือนครั้งที่ ๒ คือ ๕ ปีหลัง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงขับไล่อมนุษย์ออกจากเกาะลังกาขณะ ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
มหาวิหาร พระองค์ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
ทรงเห็นว่าเหล่านาคผู้มีฤทธิ์มากมักโกรธ มีใจหยาบช้า มัวเมาด้วยทิฐิมานะที่อยู่ตามเชิงเขาในเกาะลังกาได้ออกมาสู้รบกัน เพื่อชิงความเป็นใหญ่ในบัลลังก์
หากพระองค์ทรงปล่อยให้จอมนาคลุงกับหลาน คือ
มโหทรนาคราชและจุโฬทรนาคราชนำไพร่พลรบราฆ่าฟันกันโดยมิเสด็จไปห้ามปราม
เกาะลังกาก็คงจะถึงกาลพินาศ
ด้วยพระเมตตาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงปรารถนาให้พวกนาคอยู่ด้วยกันอย่างสันติและเพื่อรักษาเกาะลังกามิให้ถูกทำลาย
พระองค์ได้เสด็จไปยังสนามรบของเหล่านาค
พร้อมด้วยสมิทธิเทพผู้เป็นพระราชาแห่งเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก
ทรงบันดาลให้เกิดความมืดครอบคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ
จนเหล่านาคเกิดความกลัวจนขนลุกขนพองสยองเกล้า
จากนั้นทรงแผ่เมตตาและเปล่งฉัพพรรณรังสีสว่างไสวไปทั่วสารทิศ
แล้วทรงประกาศพระสัทธรรมจนเหล่านาคจำนวน ๘๐ โกฏิ
เกิดความสำนึกและยินยอมพร้อมใจกันถวายบัลลังก์แด่พระพุทธองค์
พร้อมปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ด้วยพุทธานุภาพต้นราชายตนะที่สมิทธิเทพอัญเชิญ
มาเป็นร่มกางถวายพระบรมศาสดาได้สถิตเหนือบัลลังก์ที่ทรงประทับ
ก่อนที่จะเสด็จกลับกรุงสาวัตถี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานบัลลังก์และต้นไม้ให้เป็นบริโภคเจดีย์แก่พวกนาค
ครั้งที่
๓ คือในพรรษาที่ ๘ แห่งการตรัสรู้ธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป
ยังเกาะลังกาตามคำทูลเชิญของพญานาคนามว่า มณีอักขิกะ พร้อมด้วยภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูป
พระพุทธองค์เสด็จไปในอากาศมายังปากแม่น้ำกัลยาณีพร้อมด้วยพระสาวก ซึ่ง ณ
ที่นั้นจะเป็นที่ตั้งของพระมหาสถูปและพระมหาเจดีย์ต่อไปในภายภาคหน้า
หลังประทับนั่งแผ่เมตตา และทรงเข้าสมาบัติตลอด ๗ วัน
แล้วเสด็จไปยังมหาเมฆวันอันเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าถึง ๓ พระองค์ คือ
พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ ได้ประทับนั่งรับไทยธรรม
และพระองค์ก็ทรงเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ที่ ๔ ที่ประทับรับไทยธรรมเฉกเช่น
พระพุทธเจ้าในกาลก่อน จากนั้นจึงเสด็จพร้อมด้วยพระสาวกไปที่ยอดเขาสุมนกูฏ
คือยอดเขาศิริปาทะ และประทับรอยพระบาทไว้บนยอดเขา แห่งนั้น
เนื้อความในพระพระคัมภีร์ทีปวงศ์และพระคัมภีร์มหาวงศ์
เรื่องการเสด็จมายังเกาะลังกาทั้ง ๓ ครั้ง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบลงเพียงเท่านี้
จากนั้นเนื้อความปริเฉทถัดไป พระมหาคัมภีร์ได้เล่าถึงเรื่องการสังคายนา พระไตรปิฎกครั้งต่าง ๆ
รวมถึงการประดิษฐานพระพุทธศาสนา ณ เกาะลังกา หลังการสังคายนาครั้งที่ ๓
ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไปในบทความฉบับหน้า
แม้ว่าในการศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของนักวิชาการบางท่าน
อาจมองว่าการเสด็จมาของพระพุทธองค์ทั้ง ๓ ครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้จริง
ถึงกระนั้น หากมองพระคัมภีร์ทั้งสองในมิติ
ของความรักและความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธองค์ กลับทำให้เห็นว่า
เรื่องราวดังกล่าวแสดงถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่มีมานานหลายพันปี
และสะท้อนถึงความแน่นแฟ้นในคำสอนของพระพุทธองค์
ที่เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของบรรพชนชาวศรีลังกามาช้านาน หล่อหลอมให้เกาะลังกาเป็นหนึ่งในประเทศที่คำสอนของพุทธศาสนาแบบเถรวาทยังเป็นประทีปส่องนำทางมาจนปัจจุบัน
Cr. Tipitaka (DTP)
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๖ เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
คลิกอ่านพระไตรปิฎก (DTP) ของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
พระไตรปิฎก มรดก ๙ แผ่นดินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ปีก่อนหน้า)
สังคายนา เชื่อมกาลสานธรรม
ลังกาทวีป ประทีปพุทธธรรม (ตอนที่ ๑)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:57
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: