เคล็ดลับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย


มีวิธีใดที่จะทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายยืนหยัดต่อไปได้อย่างมีความสุข?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ในโลกนี้  มีบุคคลที่กลัวความตายเมื่อมัจจุราชมาอยู่ตรงหน้า ๔ จำพวก และมีอีก ๔ จำพวก ที่ไม่กลัวความตาย

คนที่กลัวความตาย ๔ จำพวก ก็คือ

๑.    คนที่ยึดติดอยู่ในเรื่องที่ตนเองผูกพัน เช่น คน สัตว์ สิ่งของ ยึดติดในบุคคลอันเป็นที่รัก เช่น ลูก สามี หรือภรรยา พอรู้ว่าจะต้องตายก็อาลัยอาวรณ์ผูกพันในสิ่งเหล่านี้ ทำให้กลัวตาย 

๒.    คนที่ยึดติดในตัวเอง  คือรักตัวเองมาก  รู้สึกว่าอายุเราแค่นี้เอง   ยังใช้ชีวิตไม่จุใจเลย   คิดยึดติดตัวเองก็เลยกลัวตาย

๓.    คนที่ทำบุญไว้น้อย  ทำบาปไว้มากกว่า พอรู้ว่าจะตายก็หวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปที่ไหน ถ้าตกนรกจะทำอย่างไร กลัวเส้นทางข้างหน้าที่ไม่ชัดเจนว่าจะไปสู่สุคติหรือทุคติ

๔.    คนที่ลังเลสงสัยในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า คนเราต้องเวียนว่ายตายเกิด บุญบาปมีจริงหรือไม่ ทำให้ไม่มั่นใจในเส้นทางข้างหน้าก็เลยยึดอยู่กับปัจจุบัน  แต่ปัจจุบันก็ยึดได้ไม่นาน เพราะว่ากำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว จึงเกิดความไม่มั่นใจก็เลยกลัว

คน ๔ จำพวกนี้จะกลัวความตาย พอกลัวก็จะเกิดผลตามมามากมาย คนดูแลจะปวดหัวมาก ทั้งดูแลยาก ทั้งสงสาร หมอพยาบาลที่จะมารักษาก็ยาก มีปัญหากันหมด

แต่มีคนอีก ๔ จำพวก ที่ไม่กลัวความตาย คือ

๑.    คนที่ไม่ยึดติดในเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ จนเกินไป

๒.    คนที่ไม่ได้รักตัวเองจนเกินไป  ทำใจได้ว่าถึงคราวก็ต้องตาย คนอายุน้อยกว่าเราตายก่อนเราก็มี ไม่แน่ไม่นอน บางคนยังไม่ได้เกิด แค่อยู่ในท้องก็แท้งไปแล้วก็มี พอทำใจได้ ความกลัวต่อมรณภัยก็จะน้อยลงไปตามส่วน ยิ่งตัดใจได้มากเท่าไร ความกลัวก็น้อยลงไปตามลำดับ

๓.    คนที่ทำความดีไว้มากพอ มั่นใจว่าตายแล้วไปดีแน่นอน อย่างนี้ไม่กลัวตาย

๔.   คนที่มีความเชื่อมั่นในพระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องบุญและบาป โลกนี้โลกหน้ามีจริง พอมั่นใจอย่างนี้แล้ว รู้เลยว่าชีวิตหลังความตายตนเองจะไปสู่ที่ที่ดีกว่าแน่ จะไปกลัวทำไม ก็เลยไม่กลัว

พอรู้หลักอย่างนี้แล้ว ก็นำหลักนี้มาประยุกต์ใช้เวลาไปเยี่ยมไข้ ถ้าเป็นญาติของเราก็ต้องพยายามทำให้เขาคลายความยึดมั่นผูกพัน ให้เขาสร้างบุญอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเขาไม่สะดวก เราก็ไปทำให้ แล้วเอาภาพมาให้ดู ให้เขาระลึกนึกถึงบุญบ่อย ๆ ยิ่งทบทวนบุญก็ยิ่งเพิ่มพูน และให้เขาทำสมาธิ สวดมนต์ ให้ใจอยู่กับบุญกุศล เขาก็จะยิ่งเชื่อมั่นในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วความกลัวต่อมรณภัยก็จะคลายลง และจะเป็นคนไข้ที่น่ารัก

เคยมีคนไข้ท่านหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย นอนร้องโอย ๆ อยู่บนเตียง ญาติพี่น้องที่เฝ้าอยู่ก็มีแต่ความหดหู่ สงสารแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เขานับถือศาสนาอื่น แต่มีคนรู้จักคนหนึ่งรู้จักพระวัดพระธรรมกาย ก็มานิมนต์พระให้ไปเยี่ยมเขา

พอพระไปถึงก็พูดคุยกับเขา สอนให้ทำสมาธิ ถ้าเขานึกดวงแก้วองค์พระแล้วไม่สบายใจ ให้นึกเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาเขาก็ได้ เพื่อเป็นนิมิตในการทำสมาธิ แล้วบอกเขาตรง ๆ ว่า คนเราทุกคนตายแน่นอน ต่างแต่เร็วหรือช้าเท่านั้น  บางคนยังแข็งแรงอยู่รถคว่ำตาย ไม่มีโอกาสเตรียมตัวด้วยซ้ำ แต่คนป่วยยังมีโอกาสเตรียมตัว โชคดีกว่ามาก เพราะฉะนั้นจะตายเร็วตายช้า ก็ต่างกันไม่กี่ปี ต่างแต่เพียงว่าจะไปแบบแมวหรือราชสีห์ ไปแบบแมวคือร้องครวญครางแล้วก็จากโลกนี้ไปอย่างผู้แพ้ ไปอย่างราชสีห์คือไม่หวาดหวั่นต่อมรณภัย มั่นใจในคุณความดีที่ตนเคยทำเอาไว้  เมื่อถึงคราวต้องจากโลกนี้ก็จากไปด้วยอาการแห่งผู้ชนะเหมือนราชสีห์

พอพระพูดอย่างนี้เขาก็หยุดร้อง อยากจะเป็นอย่างราชสีห์ แต่ปวดเหลือเกิน ท่านก็เลยบอกให้ทำสมาธิ เขาก็พยายามทำ พอใจนิ่งดีแล้ว สัญลักษณ์ศาสนาเดิมหายไป เห็นดวงสว่างขึ้นมาแทน เขาบอกว่าลืมความเจ็บปวดเลย มีความสุข ใบหน้าเปล่งปลั่งขึ้น จากเดิมร้องโอย ๆ ตอนนี้ไม่ร้องแล้ว เพราะนึกถึงดวงสว่างแล้วมีความสุข ลืมความเจ็บปวด ญาติ ๆ งงเลยว่าทำไมเปลี่ยนได้ขนาดนี้ หมอก็งง เพราะหมอรู้ดีว่า มะเร็งระยะสุดท้ายเจ็บปวดทรมานมาก

เขายังกลายมาเป็นคนที่คอยให้กำลังใจญาติ ปลอบใจคนมาเยี่ยม และเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาในช่วงท้ายของชีวิต แล้วยังนำความสว่างและศรัทธาที่ถูกต้องมาให้ญาติพี่น้องด้วย ตอนแรกหมอบอกว่าจะอยู่ได้เดือนหนึ่ง สุดท้ายยืดเวลาได้เป็นปี และจากไปด้วยอาการแห่งผู้ชนะ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักการไว้หมดแล้ว ถ้าเราถึงจุดนั้นเมื่อไรไม่มีความกลัวแน่นอน ถ้าหากจะพยายามยืดชีวิตให้ยาวขึ้นก็มีวัตถุประสงค์ประการเดียว คือเพื่อให้มีเวลาในการสั่งสมบุญกุศลให้มากขึ้น ถ้ารู้หลักการเราจะพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยความมั่นใจ เพราะรู้ว่าจะไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าเดิม เสมือนนักเดินทางที่มีเข็มทิศ รู้ว่าเป้าหมายปลายทางคืออะไร ไม่ใช่เดินสะเปะสะปะไปเรื่อย จะตกเหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่คือความแตกต่าง

มีผู้ป่วยระยะสุดท้ายหลายรายนั่งสมาธิแล้วยืดอายุได้นานขึ้น บางรายโรคภัยไข้เจ็บหายเป็นปลิดทิ้ง เป็นเพราะอะไร?

มีเหตุอยู่ ๒ อย่าง คือ

๑.    พอผู้ป่วยได้สร้างบุญ ได้ทำสมาธิ ผลก็คือบุญเกิดขึ้น แล้วบุญใหม่ที่ทำจะไปเหนี่ยวนำบุญเก่า ที่สั่งสมไว้ให้เชื่อมต่อกัน บุญนั้นก็เลยส่งผล ทำให้วิบากกรรมที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ทุเลาลง ที่ป่วยไม่หนักจนเกินไปก็หาย ที่ป่วยหนัก ๆ ก็ยังยืดเวลาออกไปได้ เป็นเพราะบุญมาหล่อเลี้ยงทำให้วิบากกรรมเบาบางลง

๒.    คนเราประกอบด้วยกายกับใจที่ส่งผลต่อกัน เคยสังเกตไหมว่า ข้าราชการผู้ใหญ่บางคน      พอเกษียณอายุผ่านไป ๒ ปี ป่วยตายเพราะทำใจไม่ได้ เคยมีคนมาล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด พอเกษียณแล้วไม่มีใครสนใจเลย ทำใจไม่ได้ ก็เลยป่วย หรือบางคนที่มีเรื่องกลุ้มมาก ๆ ร่างกายจะรวนเรไปด้วย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะใจกับกายเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าใจแย่ อีกหน่อยร่างกายก็จะแย่ตาม แต่ในทางกลับกันถ้าร่างกายแย่ ใจที่เคยดี ๆ อยู่บางทีก็แย่ตาม  แต่ถ้ากายแข็งแรงใจก็มีแนวโน้มจะสดใส ถ้าจิตใจสดใสสุขภาพร่างกายก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้นในคนไข้คนเดียวกัน ถ้ารู้หลักการทำความดี การทำสมาธิ การสร้างบุญ  เมื่อสร้างบุญแล้วใจก็จะมีพลัง สมดุลของใจจะเกิดขึ้น พอใจมีพลังก็ส่งผลถึงทางกาย ทำให้โรคร้ายที่มีอยู่คลี่คลายเบาบางลงไป ที่เป็นไม่มากก็หาย ที่เป็นหนัก ๆ ก็ยืดเวลาออกไปได้

ผลบุญกับสมดุลกายใจ ๒ อย่างนี้ประกอบกันขึ้นมาทำให้สุขภาพดีขึ้น หรือยืดเวลาอยู่ในโลกนี้ให้ยาวนานขึ้นได้

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องทำอย่างไรบ้าง?

ควรรู้หลักอย่างที่อธิบายไปแล้ว ถ้าคนไม่รู้หลักก็หาเรื่องคุยเฮฮา ผู้ป่วยก็ฝืนยิ้มแต่ในใจไม่มีความสุข แบบนี้ผิดหลัก ต้องหาวิธีให้คนไข้นึกถึงบุญกุศล นึกถึงความดีที่เคยทำ แล้วก็คุยแต่เรื่องที่ดีงาม ซึ่งจะทำให้ใจผ่องใส พูดถึงการปฏิบัติธรรมก็ได้ หรือเอาหนังสือธรรมะไปให้ เอาสิ่งที่เป็นสื่อให้เขานึกถึงความดี นึกถึงบุญกุศล และทำใจให้สงบไปให้ ถ้ารู้หลักอย่างนี้การไปเยี่ยมคนไข้หรือการดูแลของเราก็เป็นประโยชน์ต่อคนไข้

ในทางพระพุทธศาสนามีข้อคิดอย่างไรในการพูดถึงความตาย

แง่คิดเกี่ยวกับความตายมี ๒ ประเภท คือ

๑.   คนไม่รู้หลัก  คือคนไม่รู้หลักธรรม ไม่รู้หลักการของโลกและชีวิต พอนึกถึงความตายแล้วเศร้า หดหู่ หวาดเสียว เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามไม่นึก นึกแล้วมันน่ากลัว

๒.   คนรู้หลัก  คือผู้ที่ได้ศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนา รู้หลักที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้นึกถึงความตายบ่อย ๆ เพราะยิ่งนึกถึงแล้วจะทำให้เกิดความไม่ประมาท แล้วก็ขวนขวายเกิดกำลังใจในการทำความดีมากขึ้น

มีอยู่คราวหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถามพระอานนท์ว่า นึกถึงความตายบ่อยแค่ไหน พระอานนท์กราบทูลว่านึกถึงอยู่บ่อย ๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่ายังประมาทอยู่ จะไม่ประมาทต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก แล้วตั้งใจทำกิจต่าง ๆ ด้วยความมีสติ ด้วยความไม่ประมาท ขวนขวายในการสร้างความดีอย่างสม่ำเสมอ นี่คือการเจริญมรณานุสติ ยิ่งนึกถึงความตาย ยิ่งเกิดความองอาจแช่มชื่น เกิดกำลังใจในการทำความดี นี่คือชาวพุทธเต็มตัวที่ทำถูกต้องตามหลักวิชชา

ปัจจุบันมีโรคแปลก ๆ เกิดขึ้นมาก รักษาก็ยาก สาเหตุมาจากอะไร?

ส่วนแรกเกิดจากสิ่งแวดล้อมปัจจุบันแย่ลง คนมากขึ้น แล้วก็สร้างมลพิษขึ้นมาทั้งในอากาศ ในน้ำ รวมทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เราบริโภคเข้าไปก็ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ยาเร่ง  สารเคมีเหล่านี้เข้าไปสะสมในตัวมากกว่าสมัยก่อน เลยเกิดโรคแปลก ๆ หลายอย่าง ส่วนที่สองเกิดจากเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น คนเราก็สร้างกรรมแปลก ๆ ขึ้นมาอีกหลายอย่าง เช่น โจรกรรมคอมพิวเตอร์ สร้างไวรัสคอมพิวเตอร์ พอมีคนทำกรรมแปลก ๆ ก็เลยเกิดวิบากกรรมแปลก ๆ ขึ้นมา

ถ้าจะไปเยี่ยมใครที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย เรานำซองร่วมบุญไปด้วยได้ไหม?

ได้ แต่ต้องอย่าให้เขาลำบากใจ ความมากน้อยของปัจจัยเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือให้เขาได้มีส่วนในการสร้างบุญ ขอให้ได้ทำ ให้ใจนึกถึงบุญ อย่าเอาความเกรงใจนำหน้า แต่ให้มุ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเขา เพราะทรัพย์ที่มีอยู่อีกไม่กี่วันก็ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ จะติดตัวไปได้ต้องเปลี่ยนทรัพย์นั้นเป็นบุญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เรือนคือร่างกาย ถูก ไฟคือชาติ ชรา มรณะเผาอยู่  เรือนที่ถูกไฟเผาอยู่ ทรัพย์ใดขนออกไปได้ ทรัพย์นั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา แต่ทรัพย์ใดขนออกไปไม่ได้ก็จะถูกเผาไหม้อยู่ในเรือนนั้นเอง  การขนทรัพย์จากเรือน คือขนด้วยการให้ทานย่อมแปรเป็นบุญติดตัวเขาข้ามภพข้ามชาติ การที่เราไปแนะนำให้เขาทำบุญ เสมือนไปรักษาสมบัติให้เขา ถ้าไม่บอกให้เขาทำบุญ ทรัพย์นั้นจะถูกเผาอยู่ในเรือนก็คือร่างกายที่สลายไป

เมื่อมีญาติเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย ควรจะบอกหรือไม่บอกให้ผู้ป่วยรับทราบ?

ควรบอกให้ทราบ แต่ให้ทราบเป็นขั้นเป็นตอนอย่างมีศิลปะ เมื่อทราบแล้วเราควรให้เขารู้จักการสร้างความดี สร้างบุญกุศล รู้พระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเท่ากับว่าให้เขามีเครื่องยึดเหนี่ยว ถ้าบอกให้รู้แบบกะทันหันโดยที่เขาไม่รู้หลักพวกนี้เลย ชีวิตก็เคว้งคว้าง กลุ้ม กลายเป็นกลุ่มประเภทที่กลัวความตาย ๔ ประเภท บางคนไม่ยอมรับ บางคนโกรธ บางคนต่อต้าน แต่ถ้าให้ทราบโดยรู้หลักปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย เขาก็จะรู้ความจริง พร้อมกับมีหนทางว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ควรจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์สูงสุด บอกอย่างนี้จะเป็นประโยชน์แก่เขา

Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
เคล็ดลับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เคล็ดลับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 23:33 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.