ทำงานเป็นทีมอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จได้ตลอดรอดฝั่ง?
ในการทำงานตั้งแต่สองคนขึ้นไป
จนกระทั่งทำงานกับคนหมู่มาก เราได้ยินกันมาตลอดว่า หัวใจ
ของความสำเร็จคือการทำงานเป็นทีม
แต่แม้ว่าทั้งที่เราก็เข้าใจตรงกันอย่างนี้
เมื่อเวลาทำงาน เราก็ตั้งใจทำให้เป็นทีม แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จได้อย่างใจ
แล้วก็มักจะสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้การทำงานเป็นทีม ประสบความล้มเหลว
เพราะถ้ารู้คำตอบนี้ เราก็จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขตนเองและทีมงานให้ทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การที่หมู่คณะใดหมู่คณะหนึ่งจะทำงานเป็นทีมเวิร์กได้ดีนั้น
จะไม่เป็นเรื่องยากเลย ถ้าหมู่คณะ
นั้นฝึกฝนอบรมตนเองมาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกตนเองในเรื่องของความอดทน
พวกเราต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า
พื้นฐานของความเป็นทีมเวิร์กที่ดีนั้น อยู่ที่ "ความอดทนของผู้ที่เข้าไปร่วมทีม" เป็นหัวใจหลัก
ส่วนเรื่องความฉลาดและความชำนาญในการทำงานนั้น ยังเป็นเรื่องรองลงไป
ความอดทนที่ก่อให้เกิดความเป็นทีมเวิร์กได้นั้น
มีอยู่ ๒ เรื่องใหญ่ คือ
๑. อดทนต่อการกระทบกระทั่ง
๒. อดทนต่อคำสรรเสริญเยินยอ
ถ้าใครก็ตามที่เข้ามาร่วมทำงานเป็นทีม
ในขั้นต้นเขาเป็นคนไม่อดทนต่อเรื่องจุกจิกที่จะไหลเข้ามาในเวลาทำงาน
ก็จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่จากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ทั้งที่แม้ว่าทุกคนจะมีความเห็นตรงกันว่า เรื่องที่ทำนั้นเป็นเรื่องที่ดี
เวลาปฏิบัติงานก็จะต้องทำเป็นขั้นตอนอย่างนั้น ๆ แต่ก็จะมีเรื่องขัดใจกันจากเรื่องจุกจิก
จนเป็นสาเหตุให้อยู่ร่วมงานกันไม่ได้
เพราะในการทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกันเป็นทีมเวิร์กนั้น
เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอเรื่องรายละเอียดที่เป็นส่วนจุกจิกอีกมาก
และไม่มีใครที่จะมีความเห็นตรงกันร้อยเปอร์เซ็นต์ไปทุกเรื่อง อาจจะมีความเห็นตรงกันบ้าง
ไม่ตรงกันบ้าง แต่ถ้าไม่อดทนต่อการกระทบกระทั่งแล้ว การร่วมทีมกันก็จะไปไม่รอด
ทีมก็จะแตกกลางคัน
อีกพวกหนึ่งก็คือคนที่ต้องการให้ใคร ๆ
เขาชมอยู่เรื่อย พอไม่ได้รับคำชม ก็มีอาการจะเป็นจะตายขึ้นมา
แล้วก็กลายเป็นเรื่องจุกจิกกระทบกระทั่งกัน จนเป็นสาเหตุให้ทีมเวิร์กพังลงได้
หมู่คณะใดมีทีมเวิร์กที่ดี นั่นก็หมายถึงว่า
หมู่คณะนั้นมีผู้ร่วมทีมที่มีความอดทนต่อการกระทบกระทั่ง
และคำสรรเสริญเยินยอได้มากกว่านั่นเอง
บทฝึกที่จะทำให้เกิดความอดทนต่อการกระทบกระทั่งในการทำงานร่วมกันได้อย่างดี
ก็คือ การฝึกความละเอียดลออในการใช้ปัจจัยสี่ พวกเราเคยสังเกตไหมว่า
เวลาทำงานร่วมกัน เพียงแค่สมาชิกคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในทีม
หยิบเครื่องไม้เครื่องมือไปใช้ทำงานแล้วไม่เอากลับมาไว้ที่เดิม
หรือเอากลับมาไว้ที่เดิมเหมือนกัน แต่ไม่ทำความสะอาดให้เรียบร้อย
เพียงแค่นี้ก็เกิดการกระทบกระทั่งกันแล้ว ทำให้งานใหญ่เกิดความเสียหายได้เช่นกัน
การที่คนใดคนหนึ่งจะมีลักษณะนิสัยละเอียดลออ
หยิบสิ่งของเครื่องใช้มาใช้ เสร็จแล้วก็ทำความสะอาด
นำกลับไปไว้ที่เดิมให้เรียบร้อย ไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ก่อภาระให้คนอื่นต้องมาตามล้างตามเก็บในภายหลัง
ใครที่ฝึกตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ นั่นก็หมายความว่า
เขาต้องฝึกการดูแลการใช้ข้าวของส่วนตัว ทั้งเสื้อผ้า
เครื่องนุ่งห่มก็เก็บพับเรียบร้อย รับประทานอาหารก็มีมารยาท
มื้อไหนมีของอร่อยก็แบ่งปันกันให้ทั่ว ๆ ไม่ใช่เจออาหารถูกปากก็ตักกินคนเดียวหมด
อาหารที่ไม่ถูกปากก็ปล่อยให้ชาวบ้านกินไป เมื่อรับประทานเสร็จก็ช่วยกันเก็บล้างทำความสะอาดอย่างดี
การฝึกฝนอบรมตนเองอย่างนี้
จะทำให้เป็นคนไม่เอาแต่ใจตัว เมื่อไม่เอาแต่ใจตัวก็เลยกลายเป็น
คนที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีความอดทน ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งไปในตัว
ถ้าเราผ่านไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นบ้านใคร
หรือแผนกงานใด แค่เห็นไม้กวาดที่เขากวาดบ้าน หรือกวาดพื้นถูกวางทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
สายยางรดน้ำใช้แล้วก็ไม่ขดไม่ม้วนให้เรียบร้อย
ผ้าขี้ริ้วใช้แล้วก็ไม่ซักไม่ตากในที่ที่เหมาะสม สันนิษฐานได้เลยว่า
บ้านหลังนั้นจะต้องมีการกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นประจำ
แต่ถ้าเราผ่านไปบ้านไหน
เห็นเขาเก็บสิ่งของไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดีหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ก็รู้ไว้เถอะว่าในความมีระเบียบของคนในบ้านนั้น เขาได้ฝึกฝนอบรมคนของเขาให้มีความอดทนต่อการกระทบกระทั่งเป็นอย่างดีแล้วด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นก็เลยไม่มีการตำหนิกัน ไม่มีการจับผิดกัน
อาการหิวคำชมจึงไม่เกิดขึ้น
คนที่หิวคำชม ต้องการแต่คำสรรเสริญเยินยอ
ก็แสดงว่าถูกด่าถูกตำหนิมามาก จึงอยากจะให้ใครเขามาชมบ้าง แต่ถ้าใครทำทุกอย่างดี
เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็มักได้คำชมเป็นปกติ ไม่เคยถูกตำหนิ
จึงไม่ต้องไปโหยหาคำชมกันอีก
ถ้าใครคิดว่า ตนเองยังอดทนต่อการกระทบกระทั่งได้ไม่ดีพอ
ก็ให้กลับมาเคี่ยวเข็ญตนเองในเรื่องการใช้สอยปัจจัยสี่ เช่น
ไปนั่งที่ไหนก็เก็บเก้าอี้เก็บโต๊ะในเวลาเลิกนั่ง ไปกินที่ไหนก็เก็บถ้วย ช้อน ชาม
ให้ดีเวลาเลิกกิน ไปเขียนหนังสือหรือไปทำงานตรงไหน พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็เก็บเครื่องไม้เครื่องมือให้ดี ในขณะที่กำลังทำงานอยู่
ก็รู้จักใช้ของให้พอประมาณ ไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ขี้เหนียว
ไม่ตระหนี่ถี่ถ้วนจนเกินไป
ถ้าเราเคี่ยวเข็ญฝึกอบรมตนเองให้สะอาดและเป็นระเบียบ
ความอดทนต่อการกระทบกระทั่งก็จะเกิดขึ้น และจะช่วยยกระดับความอดทนในเรื่องอื่นให้สูงขึ้นด้วย
เพราะเมื่อเรามีความอดทนต่อการควบคุมตัวเองได้สูงกว่าเดิมแล้ว ความมีน้ำใจและความอยากจะทำงานเป็นทีม
ก็จะเกิดขึ้นมาเอง แต่ถ้าพื้นฐานเรื่องการใช้ปัจจัยสี่ยังดีไม่พอ
ความคิดอยากจะให้ทำงานกันเป็นทีมก็จะดับไป ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว
หมู่คณะใดมีทีมเวิร์กที่ดีในการทำงานแล้ว
แต่อยากจะปรับปรุงความเป็นทีมเวิร์กให้ดีไปกว่านี้อีก
ก็ต้องมากวดขันในเรื่องการใช้ปัจจัยสี่ กวดขันในเรื่องของการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ
วัสดุสิ้นเปลืองต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงาน
เมื่อสมัยหลวงพ่อยังเป็นนิสิต
ยังเรียนหนังสืออยู่ เวลาหลวงพ่อไปยืมตำรับตำราของใคร
หรือไปยืมเครื่องไม้เครื่องมือของใคร เจ้าของก็อยากให้ยืม
เพราะว่าถ้ายืมหนังสือหรือยืมสมุดของเขามาแล้ว ขากลับใส่ปกกลับไปให้เขาเรียบร้อย
วันหลังเขาก็อยากให้เรายืมอีก ในขณะที่บางคน ไปยืมหนังสือหรือยืมสมุดของเขามา
พอนำมาใช้ ก็ใช้เสียจนยู่ยี่ยับเยินไปหมด เมื่อถึงเวลานำกลับไปคืน
เจ้าของเห็นสภาพยับเยินแบบนั้น วันหลังก็ไม่ให้บุคคลประเภทนั้นยืมอีก
เรื่องนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานเป็นทีม
ถ้าที่ใดไม่กวดขันในเรื่องการใช้ปัจจัยสี่ให้สะอาดเป็นระเบียบดังที่ว่านี้
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การหวงสิ่งของเครื่องใช้ ไม่ยอมแบ่งกัน ทั้ง ๆ
ที่เป็นของส่วนกลางก็ไม่ยอมแบ่งให้คนอื่นใช้งาน
คนที่หวงของนั้น มีอยู่ ๒ ประเภท
๑. คน ๆ นั้นเป็นคนมีนิสัยละเอียดลออ
แต่คนที่นำของไปใช้งาน
พอใช้แล้วไม่จัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่เขาเคยใช้อยู่ วันหลังเขาก็ไม่อยากให้มาใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกันอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องหันมามองดูตัวเองด้วย
โดยเฉพาะเวลาที่เราไปใช้ข้าวของร่วมกับใครแล้วเขาไม่อยากให้เราใช้ด้วย
๒. คน ๆ นั้นเป็นคนมีนิสัยหวงของจริง ๆ
ไม่ว่าจะทำอะไร ทั้ง ๆ ที่ผู้ร่วมงานก็เป็นคนเรียบร้อย ขณะที่ตัวเองก็ไม่ได้เรียบร้อยกว่าเขาหรอก
ถ้าในกรณีนี้ ก็ต้องมาแก้ไขปรับปรุงนิสัย หวงข้าวหวงของให้ดีขึ้น
โดยเฉพาะการเอาของส่วนรวมไปใช้เป็นของส่วนตัว
เพราะฉะนั้น
ถ้าผู้ร่วมทีมคนใดแก้ไขปรับปรุงนิสัยของเขาอย่างนี้เป็นประจำ
ความอดทนต่อการกระทบกระทั่งก็จะสูงขึ้น เพราะได้ฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีกว่าเดิมแล้ว
จึงไม่ต้องมากระทบกระทั่งกัน ในที่สุดทีมนั้นก็จะน่าอยู่ คนดีมีฝีมือก็อยากเข้ามาร่วมทีม
ผู้ร่วมทีมก็รักที่จะอยู่ในทีมไปนาน ๆ ความเป็นทีมเวิร์กก็จะยิ่งแกร่งขึ้นไปทุกวัน
องค์กรนั้น หน่วยงานนั้น ก็จะสามารถทำงานเป็นทีมไปได้ตลอดรอดฝั่ง ความสำเร็จต่าง ๆ
ก็จะไหลมาเทมา เพราะมีพื้นฐานความสะอาด ความเป็นระเบียบ
และความอดทนต่อการกระทบกระทั่ง ที่ได้ฝึกมาดีแล้วทั้งทีมนั่นเอง
Cr. หลวงพ่อตอบปัญหา
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๑๓
เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
บุคลิกของคนมีสัจจะเป็นอย่างไร?
ทำงานอย่างไร... ให้มีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ท้อถอย |
ชาวพุทธจะยืนหยัด รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร |
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
บุคลิกของคนมีสัจจะเป็นอย่างไร?
ชาวพุทธจะยืนหยัด รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร
เวลาพระให้พร ท่านให้อะไร? ผู้ทำบุญได้อะไร?
"ศรัทธา " มีความหมายอย่างไร ในพระพุทธศาสนา?
วันพระ มีความเป็นมาอย่างไร?
การเลี้ยงดูพัฒนาเด็ก ควรจะเริ่มต้นอย่างไร ?
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยก ?
ทำไมเราต้องศึกษา เรื่องกฎแห่งกรรม ?
ธรรมชาติของกรรมเป็นอย่างไร?
การฝึกตนเป็นนักสร้างบารมี จะต้องทำความเข้าใจเรื่องใดให้ชัดเจนก่อน?
เวลาพระให้พร ท่านให้อะไร? ผู้ทำบุญได้อะไร?
"ศรัทธา " มีความหมายอย่างไร ในพระพุทธศาสนา?
วันพระ มีความเป็นมาอย่างไร?
การเลี้ยงดูพัฒนาเด็ก ควรจะเริ่มต้นอย่างไร ?
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยก ?
ทำไมเราต้องศึกษา เรื่องกฎแห่งกรรม ?
ธรรมชาติของกรรมเป็นอย่างไร?
การฝึกตนเป็นนักสร้างบารมี จะต้องทำความเข้าใจเรื่องใดให้ชัดเจนก่อน?
ทำงานเป็นทีมอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จได้ตลอดรอดฝั่ง?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
20:11
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: