"ศรัทธา " มีความหมายอย่างไร ในพระพุทธศาสนา?
คำว่า "ศรัทธา" เราได้ยิน
เราได้คุ้นกันมาตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งมั่นใจว่าเราเข้าใจ แต่เอาเข้าจริง ๆ
เราเข้าใจผิดกันเสียเป็นส่วนมาก คำว่า "ศรัทธา"
ในพระพุทธศาสนา ถ้าจะแปลกันให้ชัด ๆ
แปลว่า "ความเชื่อโดยปราศจากความสงสัยในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
หรือเรียกให้ชัดลงไปว่า "ตถาคตโพธิสัทธา"
การที่ใครจะเชื่อจนหมดสงสัย
ก็แสดงว่าไม่ใช่ความเชื่อตาม ๆ กันมา
แต่เป็นความเชื่อที่ได้เจาะลึกจนกระทั่งเข้าใจเหตุผลนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น แค่คำว่า
"ศรัทธา" คำเดียว ก็เป็นเรื่องที่เราจะดูเบาไม่ได้เสียแล้ว
ในเบื้องต้นนั้น คนที่จะมี "ศรัทธา" คือความเชื่อเพราะหมดสงสัยในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
จะต้องประกอบเหตุ ๒ ประการ คือ
๑.
ได้ค้นคว้าเจาะลึกในเรื่องราวประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธองค์มามากพอสมควร
๒.
ได้ศึกษาขั้นตอนในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอย่างชัดเจน
ในทางปฏิบัติ ถ้าถามว่าคนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ทำได้ยากไหม
ก็คงไม่ง่ายนัก เพราะคนที่จะเข้าใจได้จริงนั้น นอกจากศึกษาพุทธประวัติหรือประวัติของพระองค์มาอย่างละเอียดแล้ว
ยังจะต้องศึกษาเรื่องสมาธิมาอย่างลึกซึ้ง และเคยทดลองฝึกสมาธิจนกระทั่งได้รับผลการปฏิบัติในระดับใดระดับหนึ่งแล้ว
จึงจะหมดสงสัย
ถ้าคน ๆ นั้นยังไม่เคยฝึกสมาธิ
ก็ยากที่จะเข้าใจขั้นตอนการตรัสรู้ หรือแม้เคยฝึกมาบ้าง
แต่ยังไม่ถึงกับมีประสบการณ์ภายในที่น่าพอใจ เช่น ยังไม่เคยเจอความสว่างจริง ๆ จัง
ๆ ยังไม่เคยหาศูนย์กลางกายได้ ยังไม่เคยเห็นปฐมมรรคว่าเป็นอย่างไร
หรือยังไม่เข้าถึงพระธรรมกายว่าเป็นอย่างไร ถ้าอย่างนั้น
ความเข้าใจชัดเจนในเรื่องของการตรัสรู้ก็คงจะยาก
ด้วยเหตุนี้ คำว่า “ศรัทธา” ซึ่งเป็นธรรมะเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา
จึงเป็นเรื่องที่ดูเบาไม่ได้ เพราะถ้าหากเพียงแต่อ่านพุทธประวัติผ่าน ๆ
ไม่ได้เจาะลึกเหตุผลการสร้างบารมี ๑๐ ทัศ
ไม่ได้นั่งสมาธิจนกระทั่งได้สัมผัสกับธรรมะภายใน บุคคลเหล่านี้ก็ยากที่จะรู้จักคำว่าศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นศรัทธาตัวจริงที่เรียกว่า "ตถาคตโพธิสัทธา"
และเพราะญาติโยมที่ตั้งใจจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไม่ค่อยจะเข้าใจคำว่า
“ศรัทธา” ซึ่งเป็นธรรมะเบื้องต้นที่จะบรรลุธรรมต่อไปข้างหน้า จึงทำให้ความทุ่มเทใน
๓ เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นมา
๑. ความทุ่มเทที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่เกิดขึ้นมา
๒.
ความทุ่มเทที่จะรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้ถูกทำลายก็หย่อนลงไป ไม่เกิดขึ้นมา
๓. ความทุ่มเทที่จะป้องกันและรักษาศาสนสถานต่าง
ๆ ตั้งแต่โบสถ์ วิหาร ให้เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ไม่เกิดขึ้นมา
ความทุ่มเททั้ง ๓ เรื่องนี้ เป็นความทุ่มเทของคนส่วนใหญ่
ลองมาพิจารณาดูว่า
แค่ความทุ่มเทที่จะรักษาพระพุทธรูปประจำวัดให้เป็นที่เคารพสักการะของคนทั้งหมู่บ้าน
ตำบล อำเภอ ในย่านนั้น ถ้าหากไม่มีศรัทธาในระดับที่ลงมือนั่งสมาธิตามพระองค์ไป
ก็ยากจะมีความทุ่มเทขึ้นมา แม้แต่โต๊ะหมู่ หรือหิ้งพระที่บ้านตัวเอง
เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดหรือวันปีใหม่ ก็จัดดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาอย่างดี
แต่หลังจากทำบุญวันนั้นแล้ว ดอกไม้ก็เสียบอยู่ในแจกันนั่นแหละ
แล้วก็ปล่อยทิ้งเอาไว้ เริ่มตั้งแต่ก้านที่แช่น้ำในแจกันก็เน่า
ยุงก็ลงไปไข่ในแจกันนั้น ลูกน้ำก็เกิดอยู่ในแจกัน จนกลายเป็นยุงเต็มบ้าน
ผ่านไปแรมเดือนแรมปี แจกันก็ยังตั้งอยู่ที่หิ้งพระ เห็นแต่ดอกไม้แห้ง ๆ ก้านเน่า ๆ
อยู่ที่หิ้งพระ อยู่ที่โต๊ะหมู่ตามเดิม จนกระทั่งครบวันเกิดอีกที หรือปีใหม่อีกที
ก็ค่อยไปจัดโต๊ะหมู่บูชาใหม่ แล้วก็ไปทำบุญอีกที ดอกไม้ชาวพุทธคงทนเหลือเกิน
ช่อเดียว ดอกเดียวบูชาได้ตลอดปี บูชาตั้งแต่สดจนกระทั่งเน่า จากเน่าแล้วก็แห้ง
ทำไมเป็นอย่างนี้
ก็เพราะว่าศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคน ๆ นั้น ยังไม่ถึงระดับที่ลงมือศึกษาและนั่งสมาธิจนกระทั่งสิ้นสงสัย
ในการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์
การที่เราศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น ก็เพราะว่าพ่อแม่
ปู่ย่า ตาทวด นับถือกันมา ก็เลยนับถือตาม ๆ กันไป ส่วนว่าพระพุทธศาสนาจะดีจริงแค่ไหน อย่างไร
ก็ไม่เคยศึกษากันอย่างจริงจัง
อาการหิ้งพระร้างที่ยกตัวอย่างมานี้จึงเกิดขึ้นให้เห็น
เมื่อหิ้งพระที่บ้านยังร้าง ก็ไม่ต้องแปลกใจว่า
ทำไมวัดร้างในประเทศไทยจึงมีเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี อย่าไปโทษใคร
ต้องโทษว่าชาวพุทธเองไม่ตั้งใจศึกษาหาความรู้ในศาสนาของตัวเอง
และเราก็เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในนั้นด้วย
เพราะฉะนั้น วันนี้รู้แล้วก็ขอให้ศึกษาและปฏิบัติธรรมให้เต็มที่
อย่างน้อยที่สุดก็รู้ในระดับ ที่สำนึกตัวเองได้ว่า เราผิดพลาดไป
แต่ว่าเราจะต้องทำอย่างไรศรัทธาจึงจะเพิ่มพูนเต็มที่ทั้งในระดับของการนั่งสมาธิ
และระดับของการอธิบายให้คนอื่นเข้าใจเหตุผล จนลงมือปฏิบัติธรรมตามพระพุทธองค์ไป นี่ก็เป็นศรัทธาที่ต้องใช้การฝึกฝนให้เกิดความสามารถอีกระดับหนึ่ง
อุปมาเหมือนหัวรถจักรกับขบวนรถไฟ
หัวรถจักรที่ใช้ลากขบวนรถไฟต้องมีแรงมากพอจะขับเคลื่อนตัวเอง
และมีแรงมากพอจะดึงขบวนรถไฟทั้งขบวนให้วิ่งตามไปด้วย
ถ้าหัวรถจักรมีแรงขับเคลื่อนน้อย
ก็ขับเคลื่อนไปได้เฉพาะการเคลื่อนที่ของตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถดึงขบวนรถไฟไปได้
ถ้าหัวรถจักรนั้นออกแบบก่อสร้างมาอย่างดี
ให้มีแรงขับเคลื่อนมาก ก็สามารถดึงขบวนรถไฟทั้งขบวนไปได้
แต่ในบรรดาหัวรถจักรที่มีกำลังมาก ก็ยังมีกำลังลากแบ่งเป็นหลายระดับ บางประเภทดึงรถไฟได้ขบวนเล็ก
ขบวนกลาง ขบวนใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่กับพลังขับเคลื่อนของหัวรถจักรนั้น
ศรัทธาของคนเราก็เช่นกัน ถ้าคนที่ไม่ตั้งใจฝึกสมาธิให้เต็มที่
อย่าว่าแต่มีพลังไปชวนพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ครูอาจารย์ หรือผู้มีพระคุณ
ให้เกิดความศรัทธาได้เลย แม้แต่ศรัทธาของตัวเองก็ยังไม่แน่ว่าจะฉุดดึงตัวเองไปได้
ดังนั้น คนที่จะมีศรัทธาไปชักชวนให้คนอื่น ๆ ทำความดีได้
ก็ต้องตั้งใจนั่งสมาธิให้มาก ๆ ถ้ายังไม่เข้าถึงพระธรรมกายในตัว
ก็ยากที่จะเข้าใจการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างชัดเจน
และยากที่จะไปฉุดดึงคนอื่น ๆ ให้มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมตามมา
เพราะฉะนั้น
เราต้องเริ่มที่ศรัทธาของตัวเราเองก่อน ต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้ดีในแต่ละวัน
ไม่ให้ไปหงุดหงิดใครได้ง่าย ๆ เพราะคนเราที่อยู่ด้วยกันนั้น
ทั้งเขาและเราก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ เพราะยังไม่หมดกิเลสด้วยกันทั้งคู่
โอกาสที่จะทำให้เกิดความหงุดหงิดต่อกันก็เกิดขึ้นได้
นอกจากบังคับตัวเองให้ดี
ที่จะไม่ไปทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร ที่จะไม่ไปกระทบกระทั่งคนอื่น ๆ
ให้หงุดหงิดด้วยแล้ว ก็ต้องพยายามรักษาใจให้นิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดทั้งวัน
พยายามฝึกให้ใจของเราชุ่มเย็นอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดทั้งวัน ฝึกไปวันต่อวัน
เมื่อเราพยายามฝึกอย่างต่อเนื่องเช่นนี้
โอกาสที่ใจของเราจะนิ่งอย่างต่อเนื่องในศูนย์กลางกาย ก็มีมาก
แล้วการทำใจหยุดใจนิ่งให้เข้าถึงพระธรรมกาย ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยอีกต่อไป
เมื่อใดที่เข้าถึงพระธรรมกาย เมื่อนั้นศรัทธา
ในระดับที่เรียกว่า "ตถาคตโพธิสัทธา"
ซึ่งเป็นศรัทธาในระดับที่ทุ่มชีวิตจิตใจให้กับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาก็จะบังเกิดขึ้นอย่างมั่นคง
ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด ๆ เกิดขึ้น ก็จะไม่หวั่นไหวโยกคลอนไปจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อใจของเราแช่อิ่มอยู่กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายในตัวของเราแล้ว
กำลังใจที่จะไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนา จะฟื้นฟูวัดร้าง จะฟื้นฟูศีลธรรมโลก
ก็จะบังเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล กำลังใจที่จะทำหน้าที่กัลยาณมิตรชักชวนคนทั้งโลกให้ปิดหนทางนรก
เปิดหนทางสวรรค์ ถางทางไปพระนิพพาน ก็จะสถิตแน่นมั่นคงอยู่ในใจ อุปสรรคใด ๆ
ที่บังเกิดขึ้น ก็จะถูกแก้ไขด้วยปัญญาไปตามลำดับ ๆ ในที่สุด
ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาเหมือนย้อนยุคพุทธกาล ก็จะต้องกลับมาอีกครั้งในยุคของพวกเราอย่างแน่นอน
ดังนั้น ศรัทธาของตัวเราที่ได้จากการเข้าถึงพระธรรมกายภายในมีมากเท่าใด
ศรัทธาที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปทั่วโลกก็มีมากเท่านั้น ศรัทธาจึงเป็นธรรมะเบื้องต้นในพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธทุกคนจะดูเบาหรือมองข้ามไปไม่ได้
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๑๖ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
บุคลิกของคนมีสัจจะเป็นอย่างไร?
ทำงานอย่างไร... ให้มีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ท้อถอย?
ทำงานเป็นทีมอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จได้ตลอดรอดฝั่ง?
ชาวพุทธจะยืนหยัด รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร
เวลาพระให้พร ท่านให้อะไร? ผู้ทำบุญได้อะไร?
วันพระ มีความเป็นมาอย่างไร?
การเลี้ยงดูพัฒนาเด็ก ควรจะเริ่มต้นอย่างไร ?
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยก ?
ทำไมเราต้องศึกษา เรื่องกฎแห่งกรรม ?
ธรรมชาติของกรรมเป็นอย่างไร?
การฝึกตนเป็นนักสร้างบารมี จะต้องทำความเข้าใจเรื่องใดให้ชัดเจนก่อน?
เวลาพระให้พร ท่านให้อะไร? ผู้ทำบุญได้อะไร? |
วันพระ มีความเป็นมาอย่างไร? |
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
บุคลิกของคนมีสัจจะเป็นอย่างไร?
ทำงานอย่างไร... ให้มีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ท้อถอย?
ทำงานเป็นทีมอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จได้ตลอดรอดฝั่ง?
ชาวพุทธจะยืนหยัด รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร
เวลาพระให้พร ท่านให้อะไร? ผู้ทำบุญได้อะไร?
วันพระ มีความเป็นมาอย่างไร?
การเลี้ยงดูพัฒนาเด็ก ควรจะเริ่มต้นอย่างไร ?
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยก ?
ทำไมเราต้องศึกษา เรื่องกฎแห่งกรรม ?
ธรรมชาติของกรรมเป็นอย่างไร?
การฝึกตนเป็นนักสร้างบารมี จะต้องทำความเข้าใจเรื่องใดให้ชัดเจนก่อน?
"ศรัทธา " มีความหมายอย่างไร ในพระพุทธศาสนา?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:12
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: