กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ


อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เป็นความไม่สะอาดด้วย เป็นตัวการที่ทำให้ไม่สะอาดด้วย ดูก่อนจุนทะ ก็เพราะมนุษย์ประกอบอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้  นรกจึงปรากฏ กำเนิดเดียรัจฉานจึงปรากฏ เปตวิสัยจึงปรากฏ หรือว่าทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่นจึงปรากฏมีขึ้น(จุนทสูตร)

ภพภูมิต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นมาในสังสารวัฏ เช่น นิรยภูมิ เปตวิสัย อสุรกาย และภูมิของสัตว์เดียรัจฉาน อบายภูมิเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ที่มีกาย วาจา และใจไม่บริสุทธิ์  มีไว้เพื่อลงโทษมนุษย์ที่ประพฤติผิดจากทำนองคลองธรรม เป็นการขังสัตว์เอาไว้ ไม่ให้หลุดจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไปได้ ซึ่งจะ ได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจแสนสาหัส  ต่างจากคุกหรือกรงขังในโลกมนุษย์มากมายหลายเท่านัก  ภพภูมิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในสังสารวัฏนั้น ไม่ว่าจะเป็นสุคติหรือทุคติภูมิ ต่างเป็นสิ่งที่มารองรับผลแห่งกรรมที่ทำเอาไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลในตัวเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เรามาดูกันว่า มนุษย์ได้ทำบาปอกุศลหรือประพฤติผิดจากทำนองคลองธรรมอย่างไรบ้าง จึงมีอบายภูมิหรือทุคติภูมิบังเกิดขึ้น เพื่อรองรับชีวิตหลังความตายของมนุษย์

ก่อนพุทธปรินิพพาน  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร ใกล้เมืองปาวา พระบรมศาสดาตรัสสนทนากับนายจุนทะ ซึ่งกำลังอุปัฏฐากพระองค์ว่า ดูก่อนจุนทะ ในโลกนี้ ท่านชอบใจความสะอาดของใครหนอนายจุนทะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย บำเรอไฟ  ลงอาบน้ำเป็นวัตร  ย่อมบัญญัติความสะอาดไว้ และได้ชักชวนสาวกว่า  มาเถิดท่านผู้เจริญ  ท่านลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่  พึงจับต้องแผ่นดิน  ถ้าไม่จับต้องแผ่นดิน พึงจับต้องโคมัยสด ถ้าไม่จับต้องโคมัยสด ก็ให้จับต้องหญ้าเขียวสด ถ้าไม่จับต้องหญ้าเขียวสด ก็ให้บำเรอไฟ หากไม่บำเรอไฟ ก็ให้ทำการประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ถ้าไม่เช่นนั้น ก็ให้ลงอาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง ข้าพระองค์ชอบใจความสะอาดของพราหมณ์พวกนั้น พระเจ้าข้า

พระบรมศาสดาทรงทราบว่า นายจุนทะยังไม่เข้าใจเรื่องความสะอาดทางกาย วาจา และใจ ตามหลักของผู้รู้ ด้วยพระมหากรุณาจึงตรัสสอนว่า ดูก่อนจุนทะ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิพากันบัญญัติความสะอาดเป็นอย่างอื่น  ส่วนความสะอาดในวินัยของพระอริยะเป็นอีกอย่างหนึ่งแล้วพระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังประพฤติผิดทางกาย วาจา และใจ  ประพฤติผิดไปจากกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ  คือยังยินดีในการฆ่าสัตว์ ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มีความโลภคิดอยากได้ของคนอื่น มีจิตพยาบาท และเห็นผิดไปจากทำนองคลองธรรม แม้จะลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่ แล้วจับต้องแผ่นดิน ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะบำเรอไฟหรือไม่ได้บำเรอไฟ ก็ยังถือว่าเป็นผู้ไม่สะอาด การประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ก็ไม่ใช่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือจะลงอาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง ก็ไม่ชื่อว่าเป็นผู้สะอาดอย่างแท้จริง

อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เป็นของไม่สะอาด อีกทั้งยังเป็นตัวการที่ทำให้มนุษย์ไม่สะอาด  การที่โลกมนุษย์ของเราเกิดภาวะวิกฤต มีปัญหาสงคราม หรือดินฟ้าอากาศวิปริตไปจากเดิม ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์ที่ประพฤติผิดศีลผิดธรรม เมื่อมีการรบราฆ่าฟันกัน  ทำให้ต้องหลบหลีกลี้ภัยเอาตัวรอด ต้องสะดุ้งหวาดกลัวอยู่เป็นนิจ หาความเย็นกายสบายใจได้ยาก เป็นเหมือนกับการจำลองอบายภูมิย่อม ๆ มาไว้ในโลกมนุษย์  เมื่ออกุศลกรรมบถหนาแน่นมากขึ้น ทุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะบังเกิดขึ้นตอนนี้

ความสะอาดในอริยวินัย

พระองค์ทรงบัญญัติ ความสะอาดทางกาย ในอริยวินัยว่า ใครก็ตามที่ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่  ละการลักทรัพย์  ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยจิตคิดขโมย  ละการประพฤติผิดในกาม  ไม่เจ้าชู้ ยินดีในคู่ครองของตัวเองเท่านั้น  ไม่ประพฤติล่วงละเมิดในบุรุษหรือสตรีที่มีเจ้าของ ผู้ที่ควบคุมกายตัวเองไม่ให้ไปกระทบใครได้อย่างนี้ ชื่อว่ามีกายบริสุทธิ์อย่างแท้จริง


ความสะอาดทางวาจา  มี ๔ อย่าง คือ  ละการพูดเท็จ  ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้ เพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย ละคำส่อเสียด  คือ  ฟังความข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังความข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายคนหมู่โน้น แต่เป็นคนสมานความแตกร้าว ส่งเสริมคนให้พร้อมเพรียงกัน และตัวเองก็กล่าวแต่วาจาที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน  ละคำหยาบ  กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ ชวนให้ปฏิบัติตาม เป็นวาจาของชาวเมือง คือ มีความไพเราะ น่าฟัง ไม่หยาบกระด้าง ไม่ทำให้ขุ่นเคืองใจ  ละคำเพ้อเจ้อ  พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง ถ้อยคำมีหลักฐาน มีที่อ้างอิง ประกอบด้วยประโยชน์ และพูดถูกกาล นี้เป็นลักษณะของผู้ที่มีความสะอาดทางวาจาอย่างแท้จริง


ส่วน  ความสะอาดทางใจ  มี ๓ อย่างด้วยกัน คือ การที่บุคคลฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นผู้ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่คิดปองร้ายใคร มีความเห็นชอบ ว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผล การบูชาบุคคลผู้ควรบูชามีผล ผลวิบากของกรรมที่คนทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้โลกหน้ามีจริง มารดาบิดามีคุณจริง สัตว์ผู้เป็นโอปปาติกะมีจริง  สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง  แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามมีอยู่จริง ๆ นี้คือลักษณะของผู้มีความสะอาดทางใจ

เราจะเห็นได้ว่า ผู้ที่ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ ถึงแม้จะไม่ได้บำเรอไฟ ไม่ได้อาบน้ำวันละหลายหน ไม่ได้วันทาพระอาทิตย์วันละหลายรอบ ก็ได้ชื่อว่า  ผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง  เพราะว่ากุศลกรรมบถนี้เป็นธรรมที่ทำให้มนุษย์มีความสะอาด  ผู้บำเพ็ญกุศลกรรมบถครบถ้วน ได้ชื่อว่า เป็น มนุสสเทโว  คือ เป็นเหมือนเทวดาในร่างมนุษย์  ชีวิตหลังความตายจึงมีสุคติภูมิที่น่ารื่นรมย์มารองรับบุคคลนั้น บางท่านก็ได้โอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบุญบารมีอีกครั้ง จนสามารถหมดกิเลส มีพระนิพพานเป็นที่ไป คือไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไป

โลกเปลี่ยนไปเพราะใจมนุษย์แปรปรวน

ท่านสาธุชนทั้งหลาย โลกมนุษย์นี้เป็นชุมทางของการสั่งสมบุญและบาป ส่วนภพภูมิต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสุคติหรือทุคติ เป็นเพียงผลที่มารองรับการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น เป็นผลที่เกิดจากความสะอาดและไม่สะอาดทางกาย วาจา ใจ โลกจะฟูขึ้นหรือยุบลง เจริญขึ้นหรือเสื่อมลง วัฒนะหรือหายนะ ก็เพราะการประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ อีกทั้งความสั้นยาวของอายุขัยมนุษย์ก็ยังขึ้นอยู่กับกุศลกรรมบถเป็นตัวแปรสำคัญอีกด้วย  ดังนั้น  หากต้องการมีอายุขัยยืนยาว ต้องการให้โลกใบนี้ร่มเย็นเป็นสุข และมีสุคติภูมิมารองรับชีวิตของเราในปรโลก ก็ต้องเพิ่มเติมความสะอาดกาย วาจา และใจอยู่เสมอ  จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติปาฏิกงฺขา เมื่อจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป


ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย  เพราะเหตุที่ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ
สัตว์บางเหล่าในโลกนี้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
(พุทธพจน์)

พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙ /
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 01:05 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.