พระสถูปเจดีย์ คือ สัญลักษณ์แสดงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา


หลังจากที่พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญจากอินเดียและไปเจริญรุ่งเรืองในต่างประเทศแล้ว ชาวอินเดียส่วนใหญ่ลืมศาสนสถานทางพระพุทธศาสนา ปล่อยให้รกร้างขาดการดูแล จนกระทั่งมีนักโบราณคดีทำการขุดค้นโบราณสถานต่าง ๆ ในอินเดีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๗๖๓ จึงทำให้ชาวพุทธในอินเดียและต่างประเทศเกิดความตื่นตัวในการช่วยกันฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่อีกครั้ง

ในปี พ.ศ. ๒๔๐๕ นักโบราณคดีชาวอังกฤษค้นพบซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของรัฐอุตตรประเทศ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า สาเหต-มาเหตเมืองโบราณนี้เป็นที่ตั้งของวัดพระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ซึ่งลักษณะเจดีย์และพระวิหารที่ค้นพบที่เมืองนี้ สอดคล้องกับเรื่องราวในพุทธประวัติที่อ้างถึงหมู่กุฏิพระสาวก หมู่พระเจดีย์ และธรรมศาลาในสมัยพุทธกาล

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙  ดร.ฟูห์เรอร์ (บางท่านกล่าวว่าผู้ค้นพบ คือ เซอร์อเล็กซานเดอร์  คันนิงแฮม) ค้นพบหลักศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช  ซึ่งปักอยู่ท่ามกลางทุ่งนา มีอักษรพราหมีบันทึกไว้ และแปลเป็นภาษาไทยว่า พระเจ้าปิยทัสสี   ผู้เป็นที่รักของทวยเทพ ครั้งครองราชย์ได้ ๒๐ พรรษา เสด็จมาด้วยพระองค์เอง ทรงทำสักการบูชา และรับสั่งให้ทำเสาศิลาเป็นรูปวิคฑะ เพื่อเป็นเครื่องหมายว่า ณ ตรงนี้ พระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่าศากยมุนี ได้ประสูติ ณ หมู่บ้านลุมพินี  พระองค์รับสั่งให้ยกเสาศิลาเพื่อประกาศว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประสูติ ณ ที่นี้

ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๔๑  นายดับเบิลยู.ซี. เปปเป (William Claxton Peppe) ขุดค้นสถูปแห่งหนึ่ง  ณ หมู่บ้านปิปราหวา (Piprahwa) ทางทิศใต้ของกรุงกบิลพัสดุ์  ได้พบพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรจุในผอบ ซึ่งมีแผ่นจารึกเป็นภาษาพราหมี มีความหมายว่า พระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้รับการบรรจุเอาไว้ โดยกษัตริย์ศากยะ พระประยูรญาติของพระพุทธองค์สถูปนี้เป็นสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ใน ๘ แห่ง ซึ่งรับส่วนแบ่งมาจากนครกุสินารา ในครั้งที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ หลังจากค้นพบแล้ว ท่านมาเควส เคอร์สัน อุปราชผู้ครองอินเดียสมัยนั้น ซึ่งเป็นผู้มีความคุ้นเคยกับรัชกาลที่ ๕ ของไทย ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบมาให้ประเทศไทยด้วย ต่อมารัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ทองสำริดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้ไว้ที่ยอดพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร

นักโบราณคดียังค้นพบพุทธสถานอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งที่สร้างในสมัยพุทธกาลและยุคถัดมา เฉพาะในรัฐโอริสสาพบว่า มีพุทธสถานโบราณอยู่ถึง ๑๒๘ แห่ง

การสร้างพุทธศาสนสถาน เช่น การสร้างวัดหรือพระสถูปเจดีย์ ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการยืดอายุพระพุทธศาสนา  ทั้งนี้เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกนั้นดำรงอยู่ไม่นาน  แต่ศาสนสถานที่สร้างไว้จะยังคงดำรงอยู่ เพื่อยืนยันคำสอนของพระองค์ตราบกระทั่งปัจจุบัน แม้กาลเวลาจะผ่านไปจนกระทั่งศาสนสถานเหล่านั้นอาจจะผุพังเหลือแต่ซากก็ตาม  แต่สิ่งนี้ก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันความมีอยู่จริงของพระพุทธองค์ ทำให้รู้ได้ว่าคำสอนในพระไตรปิฎกเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เป็นเพียงตำนานที่แต่งขึ้น และยังเป็นการแสดงถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา  การค้นพบวัดพระเชตวันหรือศาสนสถานสำคัญ ๆ เหล่านี้ จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการทำให้พระพุทธศาสนาสูงเด่นเป็นสง่าขึ้น และเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวพุทธหันมาฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง

สำหรับในประเทศไทยของเรา  นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับการศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีสำนักเรียนทั้งนักธรรม บาลี พระอภิธรรม หรือมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา ที่มุ่งเน้นให้การศึกษาทางด้านพระพุทธศาสนาแล้ว เรายังช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาด้วยการสร้างศาสนสถาน คือ วัดวาอาราม รวมถึงพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระบรมธาตุของพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังที่หลวงพ่อธัมมชโยมีดำริให้สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของชาวพุทธ  รวมทั้งการช่วยกันสร้างเจดีย์น้อยดอยสวรรค์ ณ วัดแม่ขิง จ.เชียงใหม่ หรือการอัญเชิญพระบรมธาตุไปประดิษฐาน ณ พุทธอุทยานนานาชาติ จังหวัดหนองคาย ก็เป็นการสร้างพุทธสถานเป็นศูนย์รวมใจให้มนุษย์และเทวาได้กราบไหว้ และเป็นการปักหลักสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาสืบต่อไป..


สำหรับผู้สนใจศึกษาเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจของพระพุทธศาสนา ศึกษาได้ที่มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย รายวิชา GB 405 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา


Cr. พระมหาวุฒิชัย วุฑฺฒิชโย ป.ธ.๙
พระสถูปเจดีย์ คือ สัญลักษณ์แสดงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา พระสถูปเจดีย์  คือ  สัญลักษณ์แสดงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 19:29 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.