เข้าวัดมานาน ทำไมยังชวนสมาชิกในครอบครัวเข้าวัดไม่ได้สักที ?
สำหรับเรื่องนี้มีหลายท่านเคยมาปรารภกับหลวงพ่อว่า
เขาเข้าวัดมานานหลายปีแล้ว เมื่อเข้าวัดแล้วก็ตั้งใจมาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม
บำเพ็ญบุญ และปรารถนาให้คนในครอบครัวมาวัดด้วยกัน เขาจึงพยายามที่จะทำหน้าที่กัลยาณมิตรชักชวนให้คนในครอบครัวมาวัด
แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เขาควรทำอย่างไรจึงจะพาคนมาเข้าวัดได้ทั้งครอบครัว
ก่อนอื่นหลวงพ่ออยากให้ข้อคิดว่า
เมื่อเราคิดจะทำการสิ่งใด หากยังทำไม่สำเร็จ
พระพุทธศาสนาสอนให้หันกลับมาสำรวจดูข้อบกพร่องของตัวเอง
การที่เราชักชวนคนในครอบครัวมาเข้าวัดด้วยกันไม่สำเร็จนั้น ก็ต้องลองสำรวจดูว่า
คุณสมบัติข้อไหนของเรายังบกพร่อง
จริงอยู่ว่าเมื่อเราเข้าวัดแล้วได้ทำความดีเพิ่มขึ้น
หมั่นทำใจให้ผ่องใส แต่หากยังไม่ละบาปอกุศลหรือนิสัยไม่ดีที่เคยทำมา
ก็จะยังไม่สามารถทำให้ผู้ที่อยู่ที่บ้านมองออกว่า เราได้ประโยชน์อะไรจากการเข้าวัด
และถ้าเขาตามเรามาวัดจริง ๆ จะมีประโยชน์อะไรกับเขา
ยกตัวอย่างเช่น
เดิมทีเราเคยเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น แม้เข้าวัดแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม
เมื่อผู้ที่อยู่ทางบ้านเห็นว่า เราเข้าวัดแล้วก็ได้แต่นั่งสมาธิ สวดมนต์ แล้วก็ขยันทำบุญทำทานบ่อยขึ้น
แต่ยังไม่เลิกจู้จี้ขี้บ่น เขาก็มองไม่เห็นว่า เราดีขึ้นกว่าเดิมตรงไหน
ยังมองไม่ออกว่า เราได้ประโยชน์อะไรจากการมาวัดบ้าง เมื่อเราไปชวนเขามาวัด
เขาจึงไม่พร้อมจะมาด้วย
แต่บางคนเมื่อเข้าวัดแล้วก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น เลิกประพฤตินิสัยไม่ดี
แก้ไขข้อบกพร่องบางสิ่งบางอย่างให้ดีขึ้น ก็พอจะทำให้เกิดการยอมรับจากคนทางบ้านได้
พอที่จะทำให้เขาอยากตามมาวัดด้วยในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาหรืองานบุญใหญ่ต่าง ๆ
บ้าง แต่ยังไม่พอจะทำให้คนทางบ้านมีแรงบันดาลใจตามมาวัดทำบุญด้วยเป็นปกติ
เพราะนิสัยที่เปลี่ยนได้นั้นยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญนัก
ส่วนข้อบกพร่องที่เป็นเรื่องสำคัญ ๆ และมีผลกระทบต่อความทุกข์ใจ
เดือดร้อนใจแก่ผู้คนในครอบครัว ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ส่วนบางคนที่เข้าวัดแล้ว ก็กลับไปแก้ไขปรับปรุงนิสัยที่สำคัญ ๆ
ให้ดีขึ้น จนคนที่บ้านยอมรับว่าเป็นคนดีขึ้น น่ารักขึ้น
แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้เขาอยากจะมาวัดด้วย เพราะว่าอดีตเคยทำความผิดพลาดเอาไว้
แม้ไม่มีใครรู้ แต่คนใกล้ตัวรู้ดี และยังเป็นสิ่งฝังใจที่ทำให้เขาไม่แน่ใจว่า
ที่เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนั้น จะดีไปได้นานแค่ไหน
มนุษย์นี้แปลก อะไรที่ดี ๆ บางทีก็ลืมง่าย แต่อะไรที่ทำให้เจ็บตัว
บางทีชาติหน้าก็ยังไม่ลืม ดังนั้นก็ขอเตือนพวกเราไว้ว่า
หากมีอะไรที่เราเคยทำผิดพลาดไว้ ถึงแม้เราจะพยายามทำอะไรให้ดีขึ้น
แต่ถ้ายังไม่ยิ่งใหญ่เกินกว่าความผิดพลาดมาก ๆ เมื่อครั้งอดีต
ก็ยากที่จะทำให้เขาลืมสิ่งที่ฝังใจได้ แต่ขอจงอย่าท้อถอย ให้อดทนทำความดีต่อไป
อย่าท้อเด็ดขาด
เมื่อเราสามารถประพฤติตนได้ดีจริง
จนเป็นที่เชื่อใจจากพ่อบ้านแม่บ้านของเราแล้ว
จนกระทั่งเขาเห็นความดีจากการที่เราได้เข้าวัดอย่างชัดเจนแล้ว
เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเข้าวัดตามเรามาเอง
อย่างไรก็ตาม แม้จะชวนผู้ใหญ่เข้าวัดได้แล้ว
แต่กระนั้นก็ยังมีเรื่องของลูก ๆ หลาน ๆ ว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้เด็ก ๆ
ยินยอมพร้อมใจตามพ่อแม่ผู้ปกครองมาวัดได้
เรื่องนี้มีข้อเตือนใจพวกเราว่า
บางครั้งเราสามารถพูดจากภาษาผู้ใหญ่กับพ่อบ้านแม่บ้านด้วยกันได้ แต่ยังพูดจาอบรมลูกที่ยังเล็กอยู่ไม่ค่อยเป็น
ก็เลยทำให้ลูกไม่อยากมาวัด การอบรมลูกให้ดี ให้เรียบร้อยนั้น ต้องค่อย ๆ
สอนจากง่ายไปหายาก หากไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก และพ่อแม่มีความคาดหวังสูง
หวังจะให้เด็กเปลี่ยนปุ๊บปั๊บ ทำได้ในทันที ลูก ๆ จะตามไม่ทัน
เมื่อลูกรับการอบรมสั่งสอนอย่างนี้ไม่ได้ จะเกิดอาการต่อต้าน
หลบหลีกได้ก็จะหลบหลีกทันที
เมื่อชวนลูกเข้าวัด แล้วลูกไม่ค่อยอยากจะมาด้วย
ก็อาจจะเกิดจากลักษณะดังนี้
๑) พ่อแม่อาจจะไปจ้ำจี้จ้ำไชลูกให้มาวัดมากเกินไป
๒) อาจจะไม่เกี่ยวกับการมาวัด
แต่เป็นเรื่องของการอบรมสั่งสอนลูกให้ทำงานการต่าง ๆ ในบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำความสะอาด การจัดระเบียบข้าวของในบ้าน
กิริยาท่าทางอะไรต่าง ๆ เพราะปรารถนาให้ลูกหลานมีความสุภาพเรียบร้อยให้เต็มที่
จะไปที่ไหน ๆ ก็ได้รับความชื่นชม ไม่ทำให้พ่อแม่เสียหน้า จึงเคี่ยวเข็ญลูกหนักไป
ลูก ๆ จึงไม่อยากไปไหนกับพ่อแม่ ถ้ามีโอกาสก็จะหนีให้ห่าง
ในการอบรมบ่มนิสัยลูก
ๆ นั้น หลวงพ่อขอยกวิธีฝึกคนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสดงให้ทราบกัน
พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ว่า การฝึกคนของพระองค์นั้น
แบ่งประเภทการฝึกไปตามอุปนิสัยของคนที่ถูกฝึกได้เป็น ๓ ประเภทคือ
๑)
ฝึกแบบนุ่มนวล เหมาะกับคนที่ว่าง่าย
๒)
ฝึกแบบทั้งนุ่มนวลและรุนแรง เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยทำอะไรจริงจัง
มีเชื้อดื้อ
๓)
ฝึกแบบรุนแรง สำหรับปราบปรามคนเกเร
การฝึกคนนั้นถึงอย่างไรก็ต้องเริ่มต้นฝึกจากแบบนุ่มนวลไปก่อน
คุณแม่บางคนฝึกลูกเก่จริง ๆ ลองมาดูกันว่าคุณแม่ทำอย่างไร
คุณแม่เตรียมราวตากผ้าไว้ที่บ้าน
แยกประเภทสำหรรับราวตากผ้าขี้ริ้วและผ้าเช็ดพื้นเอาไว้ต่างหากจากราวเสื้อผ้า
เท่านั้นยังไม่พอ
คุณแม่ยังแยกราวสำหรับตากผ้าขี้ริ้วของผู้ใหญ่และมีราวสำหรับตากผ้าขี้ริ้วของลูกด้วย
เมื่อลูกทำอะไรหก ทำอะไรเปื้อน คุณแม่ทำอย่างไร
คุณแม่บอกลูกด้วยน้ำเสียงปกติ ให้ลูกไปหยิบผ้าขี้ริ้วมา ๒ ผืน
ผืนหนึ่งของลูก อีกผืนหนึ่งของคุณแม่
แล้วคุณแม่กับลูกก็มาช่วยกันเช็ดถูที่ลูกทำเปรอะเปื้อนไว้
ตลอดเวลาคุณแม่ไม่ดุไม่ว่าอะไรเลย ชวนลูกคุยไปประสาแม่ลูก
ช่วยกันเช็ดถูจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย
ลูกจะทำหกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนกี่ครั้ง คุณแม่ก็ทำทำนองนี้
จนกระทั่งเห็นว่าลูกทำได้แล้วจริง ๆ วันหลังลูกทำหก
คุณแม่ก็บอกให้ลูกไปเช็ดทำความสะอาดเอง เพราะทำเองได้แล้ว คุณแม่ไม่ดุไม่ว่าอะไร
ยังคงบอกลูกด้วยน้ำเสียงอันเป็นปกติ นี้คือการอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนลูกแบบนุ่มนวล
กำลังกายและกำลังใจของเด็กยังเล็กนักเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่
จึงต้องสอนแบบค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อทำเช่นนี้ลูกจะไม่เข็ดขยาดกับสิ่งที่แม่พร่ำสอน
และจะมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่แม่ให้ทำ ลูกสามารถทำได้
และจะรักที่จะเข้าหาคุณพ่อคุณแม่ เมื่อท่านพร่ำสอนสิ่งใด ลูกจะอยากจดจำและทำตาม
จึงเป็นข้อเตือนใจว่า แม้พ่อแม่มีความปรารถนาดี อยากจะฝึกลูกให้เป็นคนดี
ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย เพราะความปรารถนาดีนั้น ถ้าเกินกำลังของลูก ลูกตามไม่ทัน
ลูกก็จะไม่มาด้วย จะกลายเป็นว่าพ่อแม่ไม่สามารถพาลูกเข้าวัด
ไม่สามารถห้ามลูกจากการทำความชั่ว แนะนำให้ทำความดีได้
เมื่อเข้าใจธรรมชาติของคนและการฝึกคนแล้ว
ก็ขอให้เราทั้งหลายมีความพยายามทำดีเรื่อยไปให้ครบทุกด้าน
จนสามารถเป็นกัลยาณมิตรพาสมาชิกในครอบครัวเข้าวัด ปฏิบัติธรรม
บำเพ็ญบุญได้ทั้งครอบครัว
Cr.หลวงพ่อทัตตชีโว
Cr.หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๕๘ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานบันทึกไว้ฯ |
คนไทยคุ้นเคยกับการทำงานแบบเดี่ยวฯ (ปีถัดไป) |
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
เข้าวัดมานาน ทำไมยังชวนสมาชิกในครอบครัวเข้าวัดไม่ได้สักที ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:55
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: