การไม่รู้จักตัวเองจะก่อให้เกิดผลเสียต่อชีวิตของเราอย่างไร?
เดิมทีนับตั้งแต่โบราณมาแล้ว
คนไทยประพฤติตามคำสอนในพระพุทธศาสนาที่มุ่งเน้นการสอนให้รู้จักตัวเองก่อนเป็นสำคัญ
เพราะว่าความทุกข์ในชีวิตของมนุษย์ก็เหมือน ๆ กันหมด เมื่อรู้จักตัวเองดีแล้วก็จะเข้าใจคนอื่นได้ไม่ยาก
แต่ต่อมาความเข้าใจอย่างนี้รางเลือนไป คนส่วนใหญ่
แท้จริงแล้วยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ
ทำให้สร้างความผิดพลาดเสียหายต่อชีวิตโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาแล้วมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น
การมองข้ามความสำคัญของอาหาร
ตัวของเราหรือร่างกายของเรานี้ต้องการรับอาหารเข้าไปทุกวัน
เพราะในอาหารมีสารอาหารที่จะหล่อเลี้ยงร่างกาย
ให้พลังงาน สร้างเซลล์ อวัยวะ องค์ประกอบต่าง ๆ ของร่างกายให้เจริญเติบโต
ตลอดจนซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่สึกหรอของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายดำรงชีวิตอยู่ได้
สารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตประกอบด้วย ๕
หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน
สารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตมาก คือ โปรตีน
คนญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
มีความสูงโดยเฉลี่ยต่ำกว่าคนไทย แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จบไป
ญี่ปุ่นพัฒนาคุณภาพประชากรขึ้นใหม่ คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่มีร่างกายสูงใหญ่ขึ้นมาก เพราะบริโภคอาหารถูกหลักโภชนาการมากขึ้น แต่เดิมอาหารญี่ปุ่นมีพวกผักดองเป็นหลัก
ในยุคหลังอาหารเน้นซุปเป็นหลัก ตามด้วยอาหารอุดมโปรตีนอื่น ๆ พวกถั่วเหลือง
เต้าหู้ นม
ยาสมุนไพรทั้งยาจีน ยาไทย เมื่อจะใช้ก็นำมาต้มให้ตัวยาละลายออกมาอยู่ในน้ำ
พอต้มยาเสร็จก็ดื่มน้ำยาต้มนั้น ส่วนที่เหลือคือกากก็ทิ้งไป
เพราะคุณค่าทางยาละลายออกไปหมดแล้ว
เมื่อก่อนนี้คนไทยเวลาหุงข้าว
พอหุงเสร็จจะรินน้ำข้าวทิ้ง สารอาหารในข้าวก็ออกไปพร้อมกับน้ำข้าว ข้าวในส่วนที่รับประทานก็คือส่วนกาก ต่อมาผลิตหม้อนึ่งข้าวสามารถหุงข้าวแบบไม่ต้องเช็ดน้ำ
ไม่ต้องเทน้ำข้าวทิ้ง ข้าวหุงสุกในหม้อในขั้นตอนเดียว
ข้าวที่รับประทานกันจึงเป็นข้าวที่อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร แต่พอมาถึงเรื่องต้มยำทำแกง เราก็ยังนิยมบริโภคส่วนของเนื้อแกง
เหลือน้ำแกงทิ้งเป็นส่วนใหญ่ สารอาหารในน้ำแกงที่ร่างกายควรจะได้รับไปบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย
จึงถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
เมื่อไม่ตระหนักถึงความสำคัญของอาหาร
ว่าสิ่งที่คนเราต้องการจากอาหารนั้นคืออะไร อาหารนั้นต้องปรุงอย่างไร
จึงจะได้สารอาหารออกมา และอยู่ในส่วนไหนของอาหาร เราจึงไม่ได้ประโยชน์จากอาหารที่บริโภคเข้าไปอย่างที่ควรจะได้
สุขภาพร่างกายจึงไม่สมบูรณ์แข็งแรงอย่างที่ควรจะเป็น
และทำให้สูญเสียทรัพย์มากเกินความจำเป็น
ขาดวินัยในการรับประทานอาหาร
ตามที่ได้กล่าวแล้วในตอนต้นว่า
ตัวของเราหรือร่างกายของเรานี้ต้องการรับอาหารเข้าไปทุกวัน เพราะในอาหารมีสารอาหารที่จะหล่อเลี้ยงร่างกาย
และจำเป็นต้องได้ครบทั้ง ๕ หมู่ ร่างกายจึงจะเจริญเติบโต ดำรงชีวิตอยู่ได้ดี
การรับประทานอาหารของคนเราในทุกวันนี้ ถอยห่างจากคำว่า “ปกติ” ของการรับประทานอาหารไปมาก เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เรามักจะเร่งรีบในการรับประทานอาหารเช้า
ส่วนใหญ่รับประทานแค่ของว่างพวกขนมปังเล็กน้อยกับกาแฟ พอให้รู้สึกอิ่ม
แล้วก็รีบไปเรียนไปทำงานกัน ของว่างเหล่านี้ส่วนใหญ่มีแต่แป้งกับน้ำตาลเท่านั้น
เพียงเท่านี้อาหารมื้อเช้าที่สำคัญเราก็ขาดโปรตีนไปเรียบร้อยแล้ว
ในเมื่อมื้อเช้ารับประทานไปแต่พวกของว่าง
ยังไม่ทันถึงเที่ยงก็จะหิวแล้ว พอหิวก็ไปพึ่งขนมของว่างอีก
พอถึงมื้อเที่ยงท้องไม่ว่างเต็มที่
รับประทานอาหารเข้าไปเพียงปริมาณหนึ่งก็อิ่มแล้ว
เมื่อรับอาหารเที่ยงเข้าไปไม่เต็มที่ พอตกบ่าย ๆ
ท้องก็จะเริ่มหิวอีก ก็จะต้องพึ่งพวกของว่างต่าง ๆ อีก ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกแป้งและน้ำตาล สุดท้ายมื้อที่จะรับประทานอาหารได้เต็มที่เหลืออยู่แค่มื้อเย็นเท่านั้น
เมื่อวงจรการรับประทานเป็นเช่นนี้ คนรุ่นใหม่จึงโตมาด้วยแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก ขาดสารอาหารพวกโปรตีนซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอวัยวะกล้ามเนื้อต่าง
ๆ รูปร่างและบุคลิกภาพจึงเปลี่ยนไปมากจากคนไทยในอดีต
ทำไมวงจรการรับประทานอาหารนี้จึงเกิดขึ้น?
เมื่อคิดจะแก้ไขวินัยการรับประทานอาหารให้ดีขึ้น
ต้องย้อนกลับไปดูว่า การรีบเร่งรับประทานอาหารเช้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทำไมไม่รับประทานอาหารเช้า?
ทำไมต้องรีบรับประทานอาหารเช้า? คำตอบคือ เพราะไม่มีเวลามากพอ
หรือมีเวลาน้อย ทำไมมีเวลาน้อย? คำตอบคือ เพราะตื่นสาย ทำไมตื่นสาย? คำตอบคือ เพราะนอนดึก
คนนอนดึกมีหลายสาเหตุ อาจจะดึกเพราะการทำงาน
เพราะอ่านหนังสือ แต่ก็มีคนนอนดึกจำนวนไม่น้อยที่นอนดึกโดยไม่จำเป็น อาจจะเพลิดเพลินกับการสนทนา ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม เล่นคอมพิวเตอร์ แชทกับเพื่อน เที่ยวเตร่ ทำเรื่องไร้สาระไม่เป็นแก่นสารมากมาย
คนที่รู้จักตัวเองจะเข้าใจตัวเองว่า
ร่างกายของเราต้องการอาหาร ต้องการการพักผ่อน
ต้องการทำการงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวของเราต่อไปในอนาคต
ทุกกิจกรรมมีช่วงเวลาที่เหมาะสมของร่างกาย จึงจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้
ต้องมีวินัยในการกิน การนอน การตื่น
ผลเสียต่อชีวิตเนื่องจากไม่รู้จักตัวเอง
คนที่ไม่รู้จักตัวเอง
ไม่เข้าใจถึงเหตุและผลที่เกี่ยวกับตนอย่างนี้ จึงได้ทำผิดพลาดในเรื่องต่าง ๆ
ที่มีความสำคัญต่อชีวิต ช่วงเวลาที่ร่างกายควรพักกลับไม่ยอมพัก
ช่วงเวลาที่ร่างกายควรได้รับอาหารกลับไม่ยอมให้อาหาร
คนที่ไม่เข้าใจเหตุและผลอย่างทะลุปรุโปร่ง
ก็จะมีผลไปถึงความผิดพลาดต่อศักยภาพในการทำงาน เพราะขาดการคิดพิจารณา ขาดความรอบคอบระมัดระวังเท่าที่ควร
บุคคลเช่นนี้ย่อมผิดพลาดมาถึงงานสร้างบารมี
ลดทอนศักยภาพการสร้างบารมีของตนเองอย่างน่าเสียดาย เพราะบริหารเวลาเข้านอนและเวลาตื่นไม่ดี ก็จะไม่มีเวลานั่งสมาธิกลั่นใจให้ใส
ไม่ได้สวดมนต์ ฟังธรรม ศึกษาธรรม แล้วจะหาความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต สุขภาพ
ทรัพย์สินมาจากไหน
แนวทางแก้ไข
เมื่อจะแก้ไขให้ดีต้องสาวไปหาต้นเหตุให้เจอ
เรื่องนี้มีความโยงใยของปัญหาอยู่ ปัญหาไม่ได้เกิดตรงจุดที่เรามองเห็นปัญหาเท่านั้น
แต่มันก่อตัวตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อจะแก้ไข
ต้องสาวไปหาต้นตอของเหตุแห่งปัญหานั้นให้เจอ จึงจะแก้ไขได้สำเร็จลุล่วง
แก้ไขเบื้องต้นที่การกินอาหารให้ครบหมู่ครบมื้อ
ว่าที่กินผิดพลาดไปอย่างนี้เพราะอะไร ถ้าเนื่องมาจากมีเวลาไม่พอในตอนเช้าเพราะตื่นสาย
ก็ต้องไปแก้ที่การตื่นนอน ให้เลิกตื่นสาย จะแก้ไขได้อย่างไร
ต้องกำหนดเวลาตื่นให้เป็นนิสัย ถึงจะเข้านอนเวลาไหนก็ตาม เมื่อถึงเวลาเช้าต้องตื่น
แก้ไขต่อไปเรื่องการนอนตื่นสายเพราะนอนดึก
จะต้องไปแก้ไขเวลานอน ควรสำรวจตนเองว่าทำไมเรานอนดึก
หลายคนนอนดึกทรมานสังขารโดยไม่จำเป็นเพราะติดเกม ติดคอมพิวเตอร์ ดูหนัง แชทเพลิน คุยเพลิน
เลิกนิสัยเหล่านั้นให้ได้ หันมาให้ความสนใจ ใส่ใจกับสุขภาพร่างกายของตนเอง
เพื่อจะได้ใช้ศักยภาพของร่างกายนี้ได้เต็มที่ สร้างประโยชน์ให้กับตนเองทั้งในอนาคตอันใกล้และเพื่อภพชาติต่อ
ๆ ไป จนถึงที่สุดแห่งธรรม
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
การไม่รู้จักตัวเองจะก่อให้เกิดผลเสียต่อชีวิตของเราอย่างไร?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:19
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: