ข้อความที่ว่า “ของจริงต้องคู่กับคนจริง” นั้นเป็นอย่างไร?
ข้อความที่ว่า
“ของจริงต้องคู่กับคนจริง” นั้นเป็นอย่างไร? ทำไมบางคนเข้าวัดปฏิบัติธรรม สวดมนต์
นั่งสมาธิไม่เคยขาด แต่ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย
บางคนกว่าจะชวนเข้าวัดได้ก็แสนยาก แต่พอมานั่งสมาธิกลับเข้าถึงพระธรรมกายได้ง่าย
ๆ
เรามาทบทวนกันก่อนว่า
เราปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ระดับแรกคือเพื่อฝึกให้ใจหยุดนิ่ง ระดับที่สองคือเพื่อเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
และระดับที่สามคือด้วยธรรมจักขุของพระธรรมกายจึงเห็นอริยสัจ ๔
นั่นคือเห็นและกำจัดกิเลสได้
จากเส้นทางการปฏิบัตินี้ จึงทำให้เรามองออกว่า อริยสัจ ๔ ไม่ใช่เรื่องห่างไกลจากตัวเราเลย
เพราะเป้าหมายชีวิตจริง ๆ ของพวกเรา
คือการปฏิบัติธรรมเพื่อจะเข้าถึงธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว
เข้าถึงแล้ว ไปเห็นมาแล้ว ซึ่งก็คือการตรัสรู้อริยสัจ ๔
อริยสัจ ๔ เป็นความประเสริฐอันแสนวิเศษ
เพราะใครที่ได้รู้เรื่องความจริงนี้ แม้เพียงรู้จักจากคำบอกเล่าของพระพุทธองค์
ก็จะเริ่มค้นหาทางออกจากทุกข์ที่วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เมื่อหาทางออกเจอแล้ว
ก็จะพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารได้
ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ สรุปได้ว่า
๑. ชีวิตนี้เป็นทุกข์
๒.
ทุกข์นี้เกิดจากกิเลสที่ฝังอยู่ในใจ
๓. ทุกข์ทั้งหลายแก้ได้ กำจัดได้
๔.
ข้อปฏิบัติในการกำจัดทุกข์กำจัดกิเลส คือ มรรคมีองค์ ๘ ประการ
ความจริง ๔ ประการนี้ต้องรีบรู้
แล้วลงมือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ใจจึงจะหยุดจะนิ่ง
เมื่อใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้ว ก็จะเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
แต่การจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘
แล้วเข้าถึงพระธรรมกายได้นั้น มีทางเดียวคือ ต้องมีสัจจะ คือ ต้องจริง
ถ้าคุณปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ได้จริง
คุณก็จะเข้าถึงพระธรรมกายจริง แล้วคุณก็จะได้เห็นอริยสัจ ๔ จริง
แล้วคุณก็จะปราบกิเลสได้จริง มันจริงเป็นชั้น ๆ
เป็นขั้นตอนการฝึกตัวไปตามลำดับอย่างนี้
การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ นี้
จะต้องมีสัจจะทำจริงใน ๕ สถาน คือ ปฏิบัติให้สมกับหน้าที่ ให้สมกับการงาน
ให้สมต่อวาจา ให้สมต่อบุคคลทุกคนที่เราต้องเกี่ยวข้อง และให้สมต่อความดี
ปฏิบัติจริง ๕ สถาน ชื่อว่าปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘
จริง
๑.
จริงต่อหน้าที่
๒.
จริงต่อการงาน
๓.
จริงต่อบุคคล
๔.
จริงต่อวาจา
๕.
จริงต่อความดีหรือธรรมะ
สิ่งที่ขาดตกบกพร่องไปในการนั่งสมาธิของเรา
ทำให้สมาธิไม่ก้าวหน้าก็อยู่ตรงนี้เอง ตรงที่การจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘
ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะขณะที่เรานั่งสมาธิ
แต่ต้องต่อเนื่องไปจนกระทั่งถึงขณะปฏิบัติหน้าที่การงานอื่น ๆ ด้วย
๑-๒. สัจจะต่อหน้าที่และการงาน
หน้าที่ คือ ภารกิจที่ต้องรับทั้งผิดทั้งชอบ
โอนให้ใครไม่ได้
การงาน คือ
สิ่งที่ต้องทำตามหน้าที่ที่เรารับผิดชอบ
ทันทีที่เกิดมา เราก็ต้องมีหน้าที่แล้ว
ตั้งแต่หน้าที่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ถ้าเราไม่ใช่คนโต ก็ต้องเป็นน้องที่ดีของพี่เขาด้วย
แล้วก็ต้องเป็นหลานที่ดีของปู่ย่า ตายาย ของลุงป้า น้าอา อีกด้วย
เมื่อโตขึ้นมาอีกนิดไปโรงเรียนก็มีหน้าที่เป็นลูกศิษย์ที่ดี
ไปที่โรงเรียนมีเพื่อนก็เลยต้องมีหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดี
เมื่อโตขึ้นมาก็มีหน้าที่เป็นประชาชนที่ดี
ต่อมาแต่งงานแต่งการก็มีหน้าที่เป็นสามีที่ดี เป็นภรรยาที่ดี
ต่อมามีลูกมีเต้าก็ต้องเป็นพ่อที่ดีเป็นแม่ที่ดี
ครั้นเมื่อมาบวชเป็นพระก็มีหน้าที่ตามที่พุทธองค์ทรงสั่งไว้
ต้องเป็นพระที่ดี
เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว ต่างก็มีหน้าที่ติดตัวมา
บางอย่าง เป็นหน้าที่ตามธรรมชาติ บางอย่างก็เป็น หน้าที่ที่เกิดตามความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
แต่ละหน้าที่ก็มีการงานที่ต้องทำ
ตื่นเช้าขึ้นมา หน้าที่หลักของชีวิตคือเราจะต้องไปปราบกิเลสให้หมดไปให้ได้ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์
๘
เราก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติธรรมบ่มเพาะ สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ
ตั้งแต่เช้ามืด
เราก็สวดมนต์ทำวัตรนั่งภาวนาไปกับคุณครูไม่ใหญ่ กลางวันก็แบ่งเวลาทุกชั่วโมงขอ ๑
นาที เพื่อหยุดใจนึกถึงดวง นึกถึงองค์พระ หรือทำใจนิ่ง ๆ ว่าง ๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พอตกกลางคืนถึงเวลามาศึกษาธรรมะ มาดู DMC ฟังธรรมะจากคุณครูไม่ใหญ่
คุณครูไม่เล็ก หรือจากพระอาจารย์
พอเสร็จเรียบร้อยก็ต้องทำภาวนาตามเทปของคุณครูไม่ใหญ่
การที่พวกเราปฏิบัติกันอย่างนี้ได้ทุกวันทุกคืน
กลายเป็น สัจจะต่อหน้าที่นักสร้างบารมีที่ดี
อย่างนี้เขาเรียกว่ามีสัจจะต่อหน้าที่ มีสัจจะต่อการงาน
นอกจากนี้เรายังมีหน้าที่จะต้องรักษากายนี้ให้ดี
ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี เพราะจะต้องใช้กายนี้ไปสู้กับกิเลส มีการงานต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ
บ้างเป็นผู้ผลิต บ้างทำธุรกิจ บ้างรับราชการ
บ้างทำงานเอกชน ต่างก็ทำเพื่อจะได้มีปัจจัย ๔
เอามาเลี้ยงตัวทั้งเรื่องกินเรื่องใช้
ยิ่งคนมีครอบครัว
ตื่นขึ้นมาแม่บ้านมีการงานที่จะต้องทำในการดูแลพ่อบ้าน พ่อบ้านก็มีหน้าที่การงานที่ต้องทำต่อแม่บ้านเช่นกัน
สัจจะต่อหน้าที่และการงาน ในเชิงปฏิบัติท่านใช้คำว่าต้อง จริงจัง
จึงจะถือว่ามีสัจจะ ไม่ทำอะไรเป็นเล่น ไม่เป็นสามีภรรยากันเล่น ๆ
ไม่เลี้ยงลูกแบบเล่น ๆ อย่างกับเล่นตุ๊กตา มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
ทำการงานอะไรแล้ว ต้องเสร็จ ต้องทันเวลา และต้องดี
๓-๔. สัจจะต่อบุคคลและต่อวาจา
หน้าที่การงานทั้งหมดนี้เราต้องทำกับคนอื่น
จึงต้องมีสัจจะต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย และแน่นอนว่ารวมถึงมีสัจวาจาด้วย
สัจจะต่อหน้าที่ผูกพันมาถึงสัจจะต่อการงาน
เช่นเดียวกับที่สัจจะต่อบุคคลก็จะต้องมีสัจจะต่อวาจาด้ว
สัจจะต่อวาจาและสัจจะต่อบุคคล
โบราณาจารย์ท่านสรุปว่านี้เป็นลักษณะของ ความจริงใจ
ก่อนจะพูดจาอะไรกับใครให้คิดแล้วคิดอีก ยิ่งถึงกับตกลงสัญญากับใครไว้แล้ว
ห้ามเบี้ยว ห้ามบิด ห้ามพลิ้ว ทำงานกับใครก็ถนอมใจกันบ้าง เห็นใจกันบ้าง
เป็นตายก็ไม่ทิ้งกัน นี้คือลักษณะของความจริงใจทั้งต่อบุคคล ทั้งต่อวาจาคำพูดของเรา
วันใดขาดความจริงใจ
ขณะที่มานั่งปฏิบัติธรรมจึงมีอะไรคอยผุดมากวนเรา องค์พระทำท่าจะชัด
เรื่องบางอย่างกลับโผล่ขึ้นมากวนจิตใจ
เมื่อจริงใจต่อวาจาทุกคำที่พูด
ต่อทุกคนที่เราคบค้าสมาคม สิ่งนั้นจะเป็นเหตุให้เราทำใจหยุดทำใจนิ่ง
หรือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ได้ครบบริบูรณ์เร็ว
๕. สัจจะต่อความดี
จริงต่อหน้าที่ จริงต่อการงาน จริงต่อบุคคล
จริงต่อคำพูดแล้ว ยิ่งไปกว่านี้ยังต้องจริงแสนจริงต่อความดีอีกด้วย
จริงต่อความดี คือ รู้ว่าอะไรดี รู้ว่าอะไรชั่ว
อะไรที่ชั่วแล้วไม่ต้องรอให้ใครมาเตือน พอรู้ว่าชั่วหยุดทันที หยุดกึกหักดิบ
รู้ว่าอะไรดีทุ่มชีวิตทำไป รู้ว่านิสัยอันนี้มีกับเราแล้วจะดีก็บ่มเพาะเข้าไป
ธาตุทรหดดีก็เพิ่มเข้าไป รู้ว่านิสัยงอแงขี้แยน้อยใจไม่ดีก็หักดิบเลิกให้ได้
นี้คือคำว่าจริงต่อความดี
จริงต่อความดีนี้เป็นสิ่งที่เกินกว่าจะเรียกว่าจริงจัง
เกินกว่าจะเรียกว่าจริงใจ เขาจึงเรียกว่า จริงแสนจริงต่อความดี
เมื่อจริงแสนจริงต่อความดีอย่างนี้ ใจก็หยุดก็นิ่ง แล้วนิ่งเร็วด้วย
ของจริงคู่กับคนจริง
ของจริง ก็คือ พระธรรมกายที่อยู่ภายในตัว
เข้าถึงได้ด้วยใจหยุดใจนิ่งจริง เป็นที่พึ่งที่ระลึกได้จริง
คนจริง หมายถึง ผู้ที่มีทั้งความจริงจัง จริงใจ
และจริงแสนดี สมบูรณ์อยู่ในตัว
การที่เราพาเพื่อนเข้าวัด
กว่าจะเอาตัวมาได้ว่ายากนัก แต่พอเขามาถึงปุ๊บ วันนั้นเขากับเราก็นั่งสมาธิพร้อม ๆ
กัน ปรากฏว่า เพื่อนเข้าถึงองค์พระแล้ว ที่เป็นอย่างนั้นบอกได้เลยว่า
เพื่อนของคุณคนนั้นเขาเป็น คนจริง
เขาได้ฝึกสัจจะ ๕ ประการนี้ผ่านหน้าที่การงาน ผ่านบุคคล ผ่านคำพูด
และการแก้ไขนิสัยใจคอมาตลอดชีวิตของเขา เขาทำอย่างนี้มานาน
เขาเลยเป็นคนที่ใจนิ่งได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
บุคคลประเภทนี้เป็นบุคคลประเภทนิ่งจริง
ไม่ว่าอะไรที่มาถึงเขา เขาทำดีเยี่ยมเลย เกิดอุปสรรคอะไรขึ้นมาไม่เคยโวยวายสักคำ
นิ่งหาช่องทางแก้ไขอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จในชีวิตมาตามลำดับ ๆ
บุคคลประเภทนี้มาถึงวัดเมื่อใด
นั่งเดี๋ยวเดียวเขาก็ใจหยุดใจนิ่งเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้
ส่วนใครที่ยังไม่ได้ฝึกตัวทั้ง ๕ ประการนี้มาดีพอ
เข้าวัดมาแล้วก็ต้องใช้เวลาฝึกก่อนถึงจะมีโอกาสเข้าถึงธรรม แต่ถ้าวัดก็ไม่เข้า
ฝึกก็ไม่ฝึก แบบนี้คงต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะเข้าถึงธรรม
ดังนั้น การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘
ในการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว กลับเหลือเพียงการฝึกสัจจะ ๕ สถาน โดยมีวิธีวัดง่าย ๆ ว่า สัจจะ ๕ ประการของเราสมบูรณ์ดีไหม
ถ้าสัจจะทั้ง ๕ ประการของเรานี้สมบูรณ์ เราต้องสว่าง ถ้ายังมืดอยู่ก็แสดงว่าทั้ง ๕
ประการนี้ยังไม่ครบ
เมื่อ ๕ ประการนี้ไม่ครบ มรรคมีองค์ ๘ ก็ไม่ครบ
ก็ให้ไปทบทวนสัจจะ ๕ สถานของตัวเองให้ดี ว่าหน้าที่การงานทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน
ความจริงใจที่มีต่อทุกคน เคยพูดเคยจาอะไรกันไว้อย่างไร ก็ไปทบทวนดูว่า
เราขาดตกบกพร่องอะไรบ้าง ประการสุดท้าย ตรวจสอบนิสัยตัวเองว่า
ความไม่เข้าท่าทั้งหลายที่เราเคยแก้ไขไปแล้วก็อย่าให้มันย้อนกลับมาอีก
สำรวจตรวจสอบสัจจะทั้ง ๕
ประการของตัวเองได้ละเอียดเท่าไร ก็จะกลายเป็นพรที่ให้แก่ตัวเอง “ให้เราได้เป็นคนจริงเพื่อจะได้พบของจริง” ขอให้ทุกท่านทุกคนสามารถแก้ไขปรับปรุงสัจจะทั้ง
๕ สถานนี้ได้ แล้วเข้าถึงพระธรรมกายเป็นอัศจรรย์เทอญ
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๕๓
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ผมเป็นเจ้าของกิจการผลิตสินค้าฯ |
ในทางพระพุทธศาสนามีคำอธิบายว่าฯ |
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ข้อความที่ว่า “ของจริงต้องคู่กับคนจริง” นั้นเป็นอย่างไร?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:58
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: