ต้นบัญญัติมารยาทไทย (ตอนที่ ๖)
ต้นบัญญัติมารยาทไทย
ตอนที่ ๖
หมวดธรรมว่าด้วยมารยาทในการรับประทานอาหาร
หมวดที่ ๒ โภชนปฏิสังยุต (ข้อ ๑)
----------------------------------------
----------------------------------------
บางคนมารยาทในการนั่ง ยืน เดิน
ตลอดจนการนุ่งห่มเรียบร้อยสง่างามดีมาก แต่มาพลาดในหมวดที่ ๒ คือ
มารยาทในการรับประทานอาหารไม่ค่อยน่าดู
เพื่อนฝูงพากันตั้งข้อรังเกียจแต่เนื่องจากไม่รู้ตัวจึงนึกน้อยใจว่า
“...เวลาใช้งานละก็เรียกหาไม่ให้คลาดสายตาไปเชียว แต่พอถึงเวลากินกลับลืมเราเสียนี่…”
“...เวลาใช้งานละก็เรียกหาไม่ให้คลาดสายตาไปเชียว แต่พอถึงเวลากินกลับลืมเราเสียนี่…”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
ทรงบัญญัติพระวินัยว่าด้วยการบิณฑบาตและการขบฉันภัตตาหารของพระภิกษุไว้ถึง ๓๐ ข้อ
ซึ่งเต็มไปด้วยเหตุผล แม้ฆราวาสก็ควรใส่ใจศึกษาและยึดแนวปฏิบัติอย่างเดียวกันนี้
ข้อ ๑ “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ”
ข้อนี้ทรงสอนให้เคารพในบุคคลผู้ให้ และเคารพในของที่เขาให้
ไม่แสดงอาการดูหมิ่นหรือรับมาอย่างเสียไม่ได้ ชวนให้เข้าใจว่า
เมื่อพ้นหน้าเขาแล้วท่านคงเททิ้งหรือไม่ยอมฉัน
ธรรมดามีอยู่ว่า พระภิกษุที่บวชใหม่บางรูป ท่านเพิ่งมาจากตระกูลที่ร่ำรวย
ยังแก้ไขตัวเองในหลาย ๆ เรื่องไม่สำเร็จ
บางท่านที่ยังติดรสอาหารอยู่จึงมักจุกจิกเลือกอาหาร
ญาติโยมเห็นแล้วก็อย่านึกตำหนิท่านเลย บวชใหม่ก็อย่างนี้แหละ
ต้องปล่อยเวลาให้ท่านฝึกตัวอีกสักพัก
การแก้ไขเรื่องติดรสอาหารนี้ไม่ใช่ของง่าย บางท่านใช้เวลานานหลายปีในการศึกษาทางธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางหลักสูตรของพระภิกษุไว้ ๔ ระดับ
เช่นเดียวกับการศึกษาทางโลก แต่ช่วงเวลาการศึกษาอบรมในแต่ละระดับยาวนานกว่า
ชีวิตทางโลก เมื่อเราเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปีแรกเรียกว่า Freshy หรือน้องใหม่
ตอนนั้นเราทำอะไรผิดพลาดไปบ้างรุ่นพี่ก็ยังให้อภัยตักเตือนแล้วก็แล้วกันไป
เพราะเห็นว่ายังต้องการเวลาเพื่อปรับตัวอีกสักพัก แต่พอขึ้นปี ๒ เรียกว่า Sophomore
ตอนนี้ถ้าทำผิดต้องถูกตำหนิถูกลงโทษแล้ว
เพราะถือว่าควรจะปรับตัวได้พอประมาณ พอปี ๓ เรียกว่า Junior ปี
๔ เรียกว่า Senior คราวนี้ถ้าเผลอทำผิดระเบียบ ผิดวินัย
ต้องถูกลงโทษหนักขึ้นตามลำดับ ไม่มีการรอลงอาญาแล้ว
ในทางพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน ผู้ที่เข้ามาบวชใหม่ในปีแรกเรียกว่า พระนวกะ
มีฐานะเป็นเสมือนน้องใหม่ แต่ช่วงเวลาการเป็นน้องใหม่ของท่านไม่ใช่ปีเดียว โดยเฉลี่ยก็
๕ ปี แม้มีเวลาฝึกตัวนานอย่างนี้ใช่ว่าจะแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีได้หมด
อย่างมากก็ได้เพียงอย่างสองอย่าง
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? ก็ไม่ต้องไปถามใคร ถามตัวเราเองนี่แหละ
เรารู้ไหมว่านอนตื่นสายไม่ดี...รู้ ใคร ๆ ก็รู้
แล้วทำไมไม่พยายามแก้ไข ก็พยายามแก้ไขจนนาฬิกาปลุกพังไปหลายเรือนแล้วก็ยังไม่ค่อยสำเร็จ
นิสัยไม่ดีอื่น ๆ ก็เช่นกัน ใครที่กำลังใจเข้มแข็งก็แก้ได้เร็ว
แต่ใครที่กำลังใจอ่อนปวกเปียกต้องใช้เวลามากหน่อย อย่างไรก็ดี
ท่านว่าควรแก้ไขตัวเองให้ได้ภายในเวลา ๕ ปี
พ้นช่วงเวลาการเป็นพระนวกะเข้าพรรษาที่ ๖-๑๐ เรียกว่า พระมัชฌิมะ มัชฌิม
แปลว่าปานกลาง มีเกณฑ์ว่าน่าจะแก้ไขตัวเองได้สักครึ่งค่อนแล้ว พรรษาที่ ๑๑-๒๐
เรียกว่า พระเถระ เกินกว่านั้นตั้งแต่พรรษาที่ ๒๑ เป็นต้น ไปเรียกว่า พระมหาเถระ
ถือเป็นพระผู้ใหญ่ระดับครูบาอาจารย์ ความสำรวมระวังของท่านก็มากขึ้นเป็นลำดับ แต่ถึงอย่างนั้นตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส
ท่านก็ยังมีโอกาสทำผิดพลาดพลั้งเผลอในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างเป็นธรรมดา
ในเรื่องของการติดรสอาหารนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าถึงการบิณฑบาตครั้งแรกและการเอาชนะใจของพระองค์เองว่า “…ครั้งนั้นเราเสด็จออกจากวัง
ทรงม้าข้ามแคว้นไปตามลำดับ รุ่งขึ้นเช้าก็ปลงผม
อธิษฐานบวชเองเสร็จแล้วจึงออกบิณฑบาต เราได้รับอาหารจากชาวบ้านป่า
ได้มาแล้วก็ฉันไม่ลง…
ทรงเล่าว่าเคยเสวยแต่อาหารดี ๆ
ในวัง ปุบปับมาเจออาหารแบบชาวบ้านซึ่งไม่ประณีต เห็นแล้วฉันไม่ได้
มันเขละขละเหมือนอาเจียน ต้องทรงนั่งพิจารณาอยู่นานกว่าจะตัดสินใจฉันเข้าไปได้
นี่ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงมีกำลังใจเข้มแข็งมากยังต้องทรงพิจารณาแล้วพิจารณาอีก
เพราะฉะนั้นสงสารพระบวชใหม่กันบ้างเถิด อย่าค่อนขอดจ้องจับผิดท่านเลย
อย่างไรก็ตาม ที่ใจคอเด็ดเดี่ยวจริง ๆ
ก็มี เช่น ในอดีตมีพระอรหันต์รูปหนึ่ง
ท่านปลงใจในเรื่องอาหารได้อย่างน่าเลื่อมใสมาก มีเรื่องเล่าว่า
ครั้งหนึ่งท่านออกบิณฑบาต
พบขอทานคนหนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ริมทาง ธรรมเนียมการรับประทานอาหารของชาวอินเดียสมัยนั้นเขาเอาอาหารใส่รวมกันในถาดเพียงถาดเดียว
ส่วนมากเป็นอาหารแห้ง ๆ มีอะไรก็คลุก ๆ เข้าด้วยกัน ไม่แบ่งเป็นจาน ๆ อย่างพวกเรา
เวลารับประทานก็นั่งล้อมวงรับประทานพร้อมกันทั้งครอบครัว ช้อนก็ไม่ใช้
ใช้มือหยิบอาหารใส่ปากเลย
ขอทานคนนี้เป็นโรคเรื้อนงอมแงม นิ้วมือแต่ละข้อแทบจะหลุดทั้งนั้น
แต่ถึงแม้ยากจนเขาก็ใจบุญ พอเห็นพระอรหันต์บิณฑบาตตรงมา
ก็ดีใจว่าวันนี้จะได้ถวายทาน รีบเอามือกวาดอาหารในถาดกันไว้เป็นแถบ ๆ
ว่าแถบนี้ยังไม่ได้กิน แถบโน้นกินแล้ว จากนั้นก็ยกถาดขึ้นสาธุท่วมหัว
นิมนต์พระอรหันต์ให้รับบาตร
พระอรหันต์รูปนี้รับอาหารของขอทานโดยไม่แสดงอาการรังเกียจเลย แม้เขาจะเอานิ้วขี้เรื้อนทั้ง
๕ นิ้วหยิบอาหารใส่บาตร และบังเอิญนิ้วหนึ่งเกิดขาดหลุดลงไปในบาตร
ถ้าเป็นเราคงไม่ปล่อยจนได้ของแถมอย่างนี้หรอก
แค่เห็นนิ้วร่องแร่งก็ปิดฝาบาตรเดินหลีกไปแล้ว
แต่พระอรหันต์ท่านมีเมตตาสูง ท่านหมดกิเลสแล้ว เขาแถมนิ้วมือให้นิ้วหนึ่งท่านก็ไม่ว่ากระไร
เท่านั้นยังไม่พอ
ท่านยังตั้งใจฉลองศรัทธาของขอทานขี้เรื้อนอย่างเต็มที่หวังให้เขาได้บุญมาก ๆ
ทันตาเห็น จะได้หมดเวรเป็นขอทานเสียที
ท่านรับบาตรแล้วก็ตรงไปที่ร่มไม้ใกล้ ๆ ลงนั่งแล้ววางบาตรไว้ข้างหน้า
หยิบนิ้วขี้เรื้อนนั้นโยนทิ้งเหมือนเป็นเศษไม้เศษผงธรรมดา
แล้วท่านก็หยิบอาหารขึ้นฉันหน้าตาเฉย ฝ่ายขอทานเห็นแล้วก็ดีอกดีใจยกใหญ่
ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านทำใจได้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ยากอยู่
ชาวบ้านทั่วไปพอตักบาตรก็อยากให้พระฉันของที่ตนถวาย กับข้าวจะประณีตหรือไม่ประณีต
เหมาะกับวัยกับสังขารของท่านหรือไม่ ก็ไม่ค่อยคำนึงถึง
ถ้าท่านเผลอแสดงอาการไม่อยากได้ เขาก็เสียใจ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นประโยชน์ในการรักษาศรัทธาของญาติโยมไว้
จึงทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นมาว่า
เมื่อออกบิณฑบาตต้องรับอาหารโดยไม่คำนึงว่าอาหารนั้นจะประณีตหรือไม่
เมื่อรับแล้วต้องฉัน ห้ามเอาไปเททิ้งถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของพระภิกษุ
ก็ขอฝากกับพวกเราว่า ตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงขนาดนี้
เราล้วนมีเพื่อนรักเพื่อนสนิทกันมาแล้วทั้งนั้น เพื่อนบางคนก็ยากจนกว่าเรา
บางคนก็เท่าเรา คนที่รวยกว่าเราก็มี เรื่องความรวยความจนนี้ช่วยกันไม่ได้จริง ๆ
เป็นเรื่องของบุญของบาปข้ามภพข้ามชาติมา คบเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ควรรังเกียจว่า
คนนี้จนคบไว้เป็นบริวารไว้ใช้งานเท่านั้น
ไม่อยากสนิทสนมถึงขนาดตามไปกินข้าวกินปลาที่บ้าน
ครั้นเขาชวนก็บ่ายเบี่ยงหรือไปแล้วก็กินไปติไป เดี๋ยวจะเสียน้ำใจกันเปล่า ๆ
มีอย่างไรก็กินอย่างนั้น ประสาจน เพราะเราเองแม้จะรวยก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
เคราะห์หามยามร้าย
บ้านเราอาจถูกไฟไหม้หรือถูกไล่ออกจากงานกลางคัน ถึงเวลานั้นเราอาจจนกว่าเขาก็ได้
เพราะฉะนั้น นิสัยดูถูกคนอย่าให้เกิดมีขึ้นได้ คบคนให้มองที่คุณธรรมดีกว่า
ถ้าเขานิสัยดี คุณธรรมดี แม้ยากจนเพียงไรก็รักษาน้ำใจเขาไว้เถิด
ใครทำอย่างนี้ได้ก็ถือว่ามีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม
หน้าที่การงานทุกอย่างจะคล่องตัวไปหมด
เรื่องอาหารชนิดกลืนไม่ลงนี้ หลวงพ่อเจอหลายครั้ง มาเป็นพระแล้วก็ยังเจอ
ก็ทน ๆ กันไป ไม่แสดงออกนอกหน้า ถ้าไม่หัดอดทนอย่างนี้ก็สร้างวัดไม่สำเร็จ
บางอย่างเราจำเป็นต้องทำ แม้ต้องฝืนก็ต้องทน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยไว้ก็เพื่อฝึกให้พระภิกษุหัดข่มใจ
ละความอยาก ความเอาแต่ใจไม่ว่าจะเป็นอาหารของคนจน คนรวย อาหารประณีตไม่ประณีต
อย่าไปแสดงอาการรังเกียจรังงอนอะไรเชียว เราฉันเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อฉัน
จากบัญญัติพระวินัยที่ว่า
เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพนี้ ในที่สุดก็มาเป็นหลักมนุษยสัมพันธ์ง่าย ๆ
ขั้นต้นในชีวิตประจำวันว่าเราจะไม่เป็นคนเห็นแก่กิน ไม่เลือกอาหาร คือ
จะกินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน แต่ถ้าคนไหนไม่ยอมที่จะอดทน นอกจากจะไม่ได้เพื่อนเพิ่มแล้ว
ยังเพาะศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีก
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๖๐ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
คลิกอ่านต้นบัญญัติมารยาทไทย ตอนที่ ๑-๑๕ ของวารสารอยู่ในบุญ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ต้นบัญญัติมารยาทไทย (ตอนที่ ๑๕)
|
คลิกอ่านต้นบัญญัติมารยาทไทย ตอนที่ ๑-๑๕ ของวารสารอยู่ในบุญ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ต้นบัญญัติมารยาทไทย (ตอนที่ ๖)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:59
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: