ต้นบัญญัติมารยาทไทย (ตอนที่ ๙)
ต้นบัญญัติมารยาทไทย (ตอนที่ ๙)
หมวดที่ ๒ โภชนปฏิสังยุต
ข้อ ๕ “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ”
ข้อ ๖ “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เมื่อฉันบิณฑบาต เราจักดูแลแต่ในบาตร”
ข้อ ๗ “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เราจักไม่ขุดข้าวสุกให้แหว่ง”
ข้อ ๘ “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เราจักฉันแกงพอสมควรกับข้าวสุก”
----------------------------------------------------
----------------------------------------------------
ข้อ ๕. “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ”
อาหารที่บิณฑบาตได้มา ไม่ว่าจะเป็นของคนจนหรือคนรวย ประณีตหรือไม่ประณีต
ท่านให้ฉันโดยไม่เลือก แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการทำความลำบากแก่พระมากนัก ญาติโยมควรเอื้อเฟื้อไต่ถามท่านบ้าง
เพราะพระบางรูปฉันอาหารเผ็ดจัด รสจัดไม่ได้
จะถามในขณะที่ท่านบิณฑบาตก็ไม่เสียหายอะไร เพราะเป็นเรื่องจำเป็น
ถามแบบเป็นการเป็นงานไม่ได้ถามแบบชวนคุย พระท่านตอบได้ ข้อสำคัญต้องระวังคำถามให้ดี
อย่าให้ท่านต้องตอบแบบเจาะจงเลือกอาหาร ซึ่งก็ไม่ยากอะไร ถามท่านตรง ๆ เลยว่า
“หลวงพ่อ หลวงตา อาหารรสจัด ๆ
อย่างนี้ฉันได้ไหม…อาหารประเภทนั้นประเภทนี้เป็นอุปสรรค
เป็นอันตรายแก่สุขภาพของหลวงพ่อหรือเปล่า…” อย่างนี้ท่านตอบได้
ถ้าเราไม่ไต่ถามท่านบ้าง บางทีเราก็พลาดทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนาโดยไม่เจตนา
นานมาแล้ว
หลวงพ่อไปกราบพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า
สมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่งของเรา ท่านมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ของเผ็ด
ๆ ท่านฉันไม่ได้ มีอยู่คราวหนึ่งท่านรับนิมนต์ไปฉันอาหารที่บ้านข้าราชการผู้ใหญ่
ปรากฏว่า เขามีแต่อาหารรสจัด เผ็ดจัด จำพวกอาหารขี้เมาทั้งนั้น
ท่านรู้เหมือนกันว่าไม่เหมาะกับสุขภาพของท่าน แต่ก็ไม่ออกปากว่าอย่างไร
เขาจัดให้อย่างไรก็ฉันอย่างนั้น แต่พอกลับถึงวัดก็อาพาธนอนป่วยเป็นเดือน ๆ
นี้ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจทำบุญยังพลาด
เพราะฉะนั้นเวลานิมนต์พระมาฉันอาหารที่บ้านก็ดี ตักบาตรให้พระก็ดี
จัดอาหารรสพอสมควร ๆ อย่าให้รสจัดนัก บางองค์สู้ไม่ได้จริง ๆ
หรือไม่อย่างนั้นก็ทำน้ำจิ้มรสจัดไว้ต่างหาก สำหรับองค์ที่ชอบฉันอาหารรสจัด ๆ
แล้วความเชื่อที่ว่า คนที่ตายไปแล้วชอบกินอาหารอะไรแล้วตักบาตรด้วยอาหารชนิดนั้นส่งไปให้
ขอให้รู้ด้วยว่า พระไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์นะ เดี๋ยวผีพ่อชอบกินเหล้า
จะเอาเหล้ามาถวายหลวงพ่อเสียอีก
เรื่องอาหารการกินของพระผู้ใหญ่สูงอายุต้องระวังให้มาก
เพราะถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริง ๆ ท่านจะไม่พูด ถวายอย่างไรก็ฉันอย่างนั้น แล้วก็เลยทำให้ท่านลำบากลำบน
บั่นทอนอายุท่าน พวกเราช่วยเอาใจใส่ท่านด้วยก็แล้วกัน
หลวงพ่อเองทั้ง ๆ ที่ระวังยังพลาด
มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ท่านเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรฯ
องค์ที่เวลาอบรมธรรมทายาทของวัดเราท่านก็เมตตารับเอาไปบวชให้ทุกปีนั่นแหละท่านเป็นโรคเบาหวาน
แต่เผอิญหลวงพ่อไม่ทราบ วันนั้นท่านมาอบรมพระภิกษุที่วัด
หลวงพ่อก็ให้เขาจัดน้ำอ้อยมาถวายท่าน เนื่องจากท่านให้ความคุ้นเคย
ก็เลยพูดแบบเอ็นดูว่า “นี้แกล้งฆ่ากันนะนี่” แล้วก็อธิบายว่า
ท่านฉันของหวานไม่ได้หรอก เนื่องจากเป็นโรคเบาหวาน อย่างน้ำอ้อยนี้ฉันไม่ได้เลย
ก็เลยจัดน้ำแข็งเปล่ามาถวายแทน เกือบไปแล้วไหมล่ะ
นี้ถ้าเป็นองค์อื่นท่านเกรงใจเราฉันเข้าไปทั้ง ๆ ที่แสลงโรค คงแย่ด้วยกันทั้ง ๒
ฝ่าย
ข้อ ๖. “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เมื่อฉันบิณฑบาต เราจักดูแลแต่ในบาตร”
นี้ก็เป็นมารยาทในการับประทานอาหารทั่ว ๆ ไป เมื่อเด็ก ๆ
โดนแม่ตีก็เรื่องอาหารนี้แหละ
หลวงพ่อเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ๒-๓ ปี ฉะนั้นจึงทันได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น แล้วบ้านหลวงพ่อเองก็ประสบภัยสงครามกับเขาด้วย ตอนนั้นญี่ปุ่นเข้ามายึดเอาไร่และบ้านเพื่อทำเป็นค่ายทหารของเขา เราก็เลยต้องอพยพ
หลวงพ่อเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ๒-๓ ปี ฉะนั้นจึงทันได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น แล้วบ้านหลวงพ่อเองก็ประสบภัยสงครามกับเขาด้วย ตอนนั้นญี่ปุ่นเข้ามายึดเอาไร่และบ้านเพื่อทำเป็นค่ายทหารของเขา เราก็เลยต้องอพยพ
ฐานะซึ่งแต่เดิมปานกลาง พอปุบปับถูกไล่ออกจากบ้าน ต้องจากที่ทำกิน
ก็จนกรอบทรุดฮวบเลย อาหารการกินฝืดเคืองไปหมด ขณะนั้นยังเป็นเด็ก พอเห็นเพื่อน ๆ
ที่เขากลับจากโรงเรียนกินไอศกรีม กินนั่นกินนี่ ก็อยากกินกับเขาบ้าง
แต่ไม่มีเงินซื้อ ด้วยความเป็นเด็กก็อดมองเขากินไม่ได้
การดูปากคนที่กำลังกินอาหารถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างแรง
ผู้ใหญ่สมัยนั้นไม่ยอมปล่อยให้ลูกหลานมองใครกินอาหารเด็ดขาด ที่บ้านโยมแม่ไม่ยอมให้ลูก
ๆ มองปากใครกิน ถ้าเห็นท่านตียับเลย ความที่ถูกเคี่ยวเข็ญมาอย่างนั้น ต่อ ๆ
มาก็ดีขึ้น โดนตี ๔-๕ หน วันหลังเห็นใครกินอะไรไม่กล้ามอง ก้มหน้างุดไปเลย
ฉะนั้น พอโตขึ้นมาก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เรารู้จักพอ คือ
ถูกฝึกให้สันโดษนั่นเอง เรามีฐานะอย่างไรก็พอใจอย่างนั้น
นิสัยที่จะไปอิจฉาใครก็เลยไม่มี อิจฉาตาร้อนใครไม่เป็น เพราะเคยอดอาหารมาจนชินแล้ว
ถึงลำบากยากเย็นอย่างไรเราก็อยู่ได้
จากมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เองได้ส่งผลยิ่งใหญ่ต่อมา คือ อิจฉาใครไม่เป็น
ใครเขาได้ดิบได้ดีก็สนับสนุน ถึงจะได้ดีกว่าเราก็ไม่นึกอิจฉาเลย
บรรพบุรุษของเราท่านฉลาดจริง ๆ
ในการอบรมลูก ๆ หลาน ๆ มารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้อย่าปล่อยผ่าน
ถึงขาดเงินขาดทองอย่างไรก็อย่าปล่อยให้ลูกหลานไปดูปากชาวบ้านเขากิน
ถ้าไม่ระวังกวดขันห้ามปรามเสียแต่ยังเด็ก
นิสัยขี้อิจฉาจะพอกพูนขึ้นมาจนแสดงออกอย่างน่าเกลียด หาความสบายใจไม่ได้ตลอดชาติ
ข้อ ๗. “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เราจักไม่ขุดข้าวสุกให้แหว่ง”
ท่านหมายความว่า เวลาตักข้าวรับประทานไม่ควรแหวกกองข้าวตรงนั้นตรงนี้จนเว้า
ๆ แหว่ง ๆ เขละขละไปทั้งจาน ควรตะล่อมข้าวเป็นคำ ๆ
หมั่นปาดขอบกองข้าวให้พูนกลมอยู่ตลอดเวลา
จะรับประทานด้วยมือหรือด้วยช้อนก็ควรทำอย่างเดียวกัน
เรื่องนี้ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง แม้เป็นมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีคุณค่ามาก
นอกจากจะเป็นการฝึกสติแล้ว ยังช่วยส่งเสริมบุคลิกของเราได้เป็นอย่างดี
เวลาไปกินข้าวปลาอาหารที่ไหนจะได้ไม่มีใครรังเกียจ หลวงปู่วัดปากน้ำเวลาท่านฉันข้าว
ข้าวในจานของท่านจะพูนกลมอยู่เสมอ น่าดูมาก
เพราะเวลาฉันท่านใช้ช้อนตะล่อมปาดข้าวในจานของท่านตลอดเวลา
ดังนั้นกองข้าวจึงดูพูนกลมเหมือนข้าวเหนียวพูนในกะละมัง ไม่มีแหว่ง
แต่พวกเราเวลากินไม่ค่อยระวัง เจาะเอาตามใจชอบ ข้าวจึงแหว่งเป็นแถบ ๆ
บางคนก็คุ้ยข้าวเสียกระจายเกลื่อนเป็นไก่เขี่ย เปรอะปากชามยังไม่พอ
หกกระเด็นออกมาข้างนอกอีก ไม่งามเลย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดมารยาทข้อนี้ไว้สำหรับพระภิกษุ
เพราะโดยทั่วไปพระมักฉันอาหารต่อหน้าญาติโยมที่มาทำบุญเป็นจำนวนมาก
ขณะที่พระกำลังฉัน ชาวบ้านไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยนั่งดูพระฉันไปพลาง คุยกันไปพลาง
กี่สายตา ๆ ก็มองมาที่พระ ถ้าพระรูปใดเผลอตัวมารยาทขาดไปสักนิด เขาจะนึกตำหนิทันที
ทำให้ใจขุ่นมัว ศรัทธาคลอนแคลนได้บุญไม่เต็มที่
บางคนเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อ แทนที่จะได้บุญล้วน ๆ กลับแบกบาปไปอีก
การนั่งรับประทานอาหารต่อหน้าคนมาก ๆ นี้ไม่ใช่ของง่ายเลย
ตอนหลวงพ่อบวชพรรษาแรก พอเริ่มฉันก็ถูกญาติโยมมองตาแป๋วเล่นเอาเขิน
จับช้อนมือไม้สั่นไปหมด ถามพระองค์อื่นว่าเป็นไหม ก็เป็นเหมือนกัน
เลยต้องหาทางออก แก้ปัญหาโดยกำหนดลงไปว่าพอพระเริ่มฉันให้โยมสวดมนต์ทำวัตรไปเลย เขาจะได้ไม่นั่งดูพระฉัน
แถมยังได้บุญเพราะการสวดมนต์อีก
วัดพระธรรมกายทำอย่างนี้ก็เรียบร้อยดีทั้งพระทั้งชาวบ้าน
ความไม่งามที่เกิดขึ้นขณะที่พระกำลังฉันเท่าที่เจอยังมีอีกหลายอย่าง คือ
บางคนชอบเอาพระมาเสี่ยงทาย เช่น เขาจัดอาหารใส่จานมาตั้งถวายพระ ๔-๕ อย่าง
แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานเลยว่า
ถ้าหลวงพ่อตักอาหารจานนี้เป็นจานแรกแสดงว่าลูกในท้องของเขาจะเป็นชาย
ถ้าตักจานนั้นลูกในท้องจะเป็นหญิง ถ้าตักจานโน้นแสดงว่าต่อไปนี้ลูกหมดแล้ว
ไม่มีมาเกิดอีก ว่าเข้าไปนั่น
บางพวกหนักขึ้นไปอีก ส่วนมากเป็นแม่บ้านที่ทำกับข้าวเก่ง ๆ
พวกนี้ชอบมาประชันฝีมือกันที่วัด พอพระลงมือฉัน คุณเธอก็จ้องเอา
ๆ พระท่านก็ไม่รู้ตัวว่าถูกกำหนดให้เป็นกรรมการตัดสิน ท่านก็ฉันไปตามสบาย
พอฉันเสร็จแล้ว เขายกสำรับกับข้าวเข้าครัวไปก็ได้เรื่อง
พวกเธอทั้งหลายมีเรื่องคุยข่มกันมาทีเดียว
“อุ๊ย..ฝีมือใคร ๆ
ก็เทียบฉันไม่ได้หรอกดูสิ…หลวงพ่อฉันแต่ของฉันคนเดียว
ของเธอท่านไม่แตะเลย…” แม่นั่นก็เลยหน้างอไป
ดูนะ
ตั้งใจไปทำบุญกลับกลายเป็นไปทะเลาะกันว่าพระฉันของใครมากของใครน้อย ไม่น่าเลย
พระแต่ละองค์ท่านชอบอาหารเหมือนกันเมื่อไรเล่า บางองค์ก็ชอบอย่างนี้ บางองค์ก็ชอบอย่างนั้น
เอาแน่ไม่ได้ ยังอุตส่าห์มีคนเอามาเป็นเรื่องทะเลาะกันจนได้
เห็นแบบนี้บ่อย ๆ
เข้าชักไม่ชอบมาพากล ก็เลยหาเรื่องให้สวดมนต์ขณะพระฉันเสียเลยจะได้ไม่มัวมานั่งจับผิด
นั่งเสี่ยงทายให้วุ่นวายกันเปล่า ๆ
ข้อ ๘. “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า
เราจักฉันแกงพอสมควรกับข้าวสุก”
ข้อนี้เป็นเรื่องของการฝึกนิสัยไม่ให้กินกับข้าวเติบ
เช่นเดียวกับข้อที่ผ่านมาแล้ว ต่างกันแต่ว่า
ข้อแรกเป็นกรณีตั้งเจตนาจะให้ได้กับข้าวมาก ๆ ขณะบิณฑบาต
ส่วนข้อนี้เป็นการกำหนดมารยาทขณะกำลังฉันอาหาร ผลที่ได้รับ นอกจากจะไม่เป็นที่รังเกียจของเพื่อนฝูงของชาวบ้านแล้ว
ยังสร้างนิสัยประหยัด เป็นผลดีในเชิงเศรษฐกิจด้วย
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
ต้นบัญญัติมารยาทไทย (ตอนที่ ๙)
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
20:08
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: