ทำอย่างไรทุกคนจึงจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน?


เมื่อคนเราต้องทำงานร่วมกัน ในฐานะที่จะต้องช่วยกันสร้างงานต่อไปในอนาคต มีสิ่งสําคัญที่จะต้องเตือนใจนักทํางานไว้เสมอคือ นักทำงานต้องคิดก่อนทํา คิดก่อนพูด และ คิดก่อนคิด คำว่า คิดก่อนทําคงจะเคยได้ยินกันมาแล้ว คิดก่อนพูดก็คงเคยได้ยินกันมาบ้าง คิดก่อนคิดยังหาคําตอบไม่ได้ หลวงพ่อมาเจอคําตอบจากพระธรรมคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเอามาฝากเพื่อให้คิดกันเป็น

คิดก่อนทําหมายถึง คิดพิจารณากายกรรมหรือการกระทําทางกาย ส่วน คิดก่อนพูดหมายถึง คิดพิจารณาวจีกรรมหรือการกระทําทางวาจาหรือคําพูด และ คิดก่อนคิดหมายถึง คิดพิจารณามโนกรรมหรือการกระทําทางความคิด

การกระทําไม่ว่าจะเป็นทางความคิด คําพูด และการกระทําทางกาย ต่างก็เป็นกรรม ซึ่งเมื่อทําไปแล้วจะมีวิบากเป็นผล ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วต่างก็ถูกควบคุมด้วยกฎแห่งกรรม ดังนั้นการระมัดระวังควบคุมเพื่อให้ผลจากการกระทําเป็นผลดีที่พึงปรารถนา จึงต้องใส่ใจคิดพิจารณาอย่างรอบคอบตั้งแต่แรกเริ่มคิดทํากรรมนั้น ๆ

การคิดพิจารณานั้น มี๓ ระดับ

ระดับที่ ๑ คิดว่ากรรมนี้ทําความเดือดร้อนให้ตัวเราหรือไม่
ระดับที่ ๒ คิดว่ากรรมนี้ทําความเดือดร้อนให้คนอื่นด้วยหรือไม่
ระดับที่ ๓ คิดว่ากรรมนี้จะทําความเดือดร้อนให้ทั้งเราและคนอื่นด้วยหรือไม่

ในการคิดพิจารณาแต่ละระดับนั้น ยังแบ่งออกเป็น ๓ ลําดับ

ลําดับแรก เมื่อคิดจะทํากรรมใดไม่ว่าจะเป็นการลงมือทํา หรือการพูด หรือความคิดก็ตาม ให้คิดทบทวนดูก่อน หากพบว่าถ้ากระทําสิ่งนี้จะมีผู้ได้รับผลกระทบ อาจจะเป็นตัวเอง หรือคนอื่น หรือทั้งตัวเองและคนอื่น ๆ ได้รับความเดือดร้อน ก็ไม่พึงทํากรรมนั้นเลย แต่ถ้าคิดพิจารณาดูแล้ว ไม่มีใครถูกเบียดเบียนได้รับความเดือดร้อนจากการกระทํานี้ กรรมครั้งนี้เป็นกุศล ก็ทําเถิด

ลําดับถัดมา แม้เมื่อกําลังลงมือทําด้วยกายก็ดี พูดอยู่ก็ดี หรือคิดอยู่ก็ดี ในระหว่างที่ทําไปแล้วในระดับหนึ่งนั้น อย่านิ่งนอนใจ ยิ่งงานนั้นเป็นงานใหญ่ งานยืดเยื้อ ยิ่งต้องติดตามดูให้ดีว่าที่ทํามาถึงจุดนี้จริง ๆ แล้วเบียดเบียนทําความเดือดร้อนให้ตนเองหรือคนอื่นบ้างหรือเปล่า หรือเบียดเบียนทั้งตัวเองและคนอื่นด้วย ถ้าพบต้องหยุดทํา ห้ามดันทุรัง ทั้ง ๆ ที่ทําไปครึ่งค่อนทางแล้ว ถ้าหากจะมีความเสียหายเกิดขึ้น ยอมเลิก ยอมหน้าแตก ดีกว่าก่อศัตรู

มีข้อพึงระวังคือ ทั้งที่พิจารณามาดีแล้ว คนเราก็ยังอาจคิดผิดพลาดได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ จาก ๒ กรณีได้แก่ ๑) เราคิดไม่รอบคอบเอง เลยเกิดกรณีเสียหายจนได้ ๒) เราคิดรอบคอบแล้ว แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป เช่น เศรษฐกิจเปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน หรือการคมนาคมติดขัด เป็นต้น

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนอาจจะมีผลต่อการงานที่จะทําต่อไป อาจต้องคิดอีกครั้งให้ดี หากพบว่าได้ก่อความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนขึ้น อย่าดันทุรังทําต่อ ถึงแม้จะต้องเสียหายอะไรไปบ้าง ก็ต้องยอมตัดใจเลิกทํา แต่หากว่าเมื่อทบทวนดูแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องดี สมควรจะต้องทํา ไม่ได้เบียดเบียนใคร เพียงแต่มีอุปสรรคบางอย่างมาขวางอยู่ อย่างนี้ต้องทําให้เสร็จให้ได้

สถานการณ์เหล่านี้ต้องวินิจฉัยให้ดี ถ้าวินิจฉัยไม่ดีจะพลาดได้

ลําดับสุดท้าย เมื่อทํางานเสร็จแล้ว ก็ยังต้องมาประเมินอีกครั้ง นอกจากประเมินผลได้ผลเสียต่าง ๆ แล้ว ต้องประเมินถึงผลจากการกระทํา คําพูด ความคิดที่เสร็จแล้ว หากประเมินแล้วว่าที่ทําลงไปจนกระทั่งดําเนินมาจนจบแล้วนี้ กลายเป็นความเดือดร้อน ไม่ว่าจะทําให้ตนเองเดือดร้อน ทําให้คนอื่นเดือดร้อน หรือเดือดร้อนกันทั้งตนเองและคนอื่น ก็ควรรีบไปขอโทษเสียโดยเร็ว แม้จะต้องขอขมาคนทั้งเมืองก็ยังต้องยอม ถ้าผิดแล้วต้องยอมรับผิด ไม่ดันทุรัง ถ้ามีคนดันทุรังทําความผิด ความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหน ๆ ก็แตก องค์กรจะใหญ่เท่าไรก็ต้องแตก แม้ประเทศชาติก็ต้องแตก องค์กรนั้น ๆ จะตั้งอยู่ไม่ได้

แต่ทว่าเมื่อทําการนั้นเสร็จแล้ว ประเมินแล้วว่าไม่มีใครเดือดร้อน เราเองก็ไม่เดือดร้อน ใคร ๆ ก็ไม่เดือดร้อนสักคนหนึ่ง ตรงกันข้ามการงานที่ทําไปเป็นบุญกุศลเต็มที่ ประเมินแล้วมีแต่ดีกับดีแล้วละก็ ให้ทบทวนแล้วทบทวนอีก ปลื้มให้มาก ๆ แล้วชักชวนกันให้ทําความดีต่อไปให้มาก ๆ ยิ่งปลื้มมากเท่าไร บุญก็จะขยายเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

การทํางานไม่ว่าผิดหรือถูก เมื่อเราทําเป็นทีม ผิด ก็ผิดด้วยกัน ถูก ก็ถูกด้วยกัน งานทุกงาน ถ้าลูกน้องทําพลาดเมื่อไร ผู้เป็นหัวหน้ายิ่งต้องลุกขึ้นมารับผิดตรงนี้ เพราะต้องยอมรับว่า ตนผิดตรงที่เลือกใช้คนผิด หากจะมีใครสักคนในทีมอ้างว่าทําไมตนต้องรับผิดด้วย เพราะตนก็เคยทักท้วงไปก่อนแล้วว่าอย่าทํา แต่ทีมก็ยังฝืนทํา จะให้ตนไปรับผิดด้วยอย่างไร เมื่อทํางานร่วมกันเป็นทีมเดียวกันแล้ว ก็ต้องรับผิด ผิดตรงที่อธิบายไม่เป็น พรรคพวกทีมงานจึงทําไปอย่างนั้น ถ้าอธิบายได้ดีทีมงานก็เชื่อ ก็เข้าใจ เมื่อไม่สามารถอธิบายได้สําเร็จ ก็ควรมีส่วนร่วมรับผิดไปด้วยกัน

ด้วยวิธีการคิดก่อนการทํางานด้วยความรอบคอบ ทั้งคิดก่อนทํา คิดก่อนพูด และคิดก่อนคิด จะก่อให้ทีมงานได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน ทีมงานจะเดินหน้าต่อไปได้ หน่วยงานจะประสบความสําเร็จ การงานเจริญเติบโต และทุกคนในทีมจะทํางานอย่างมีความสุข..

Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๔๐ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗

มีหลักธรรมใดทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้นบ้าง?


การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร ?






คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
จะดำเนินการอย่างไร การพัฒนาวัดจึงจะสำเร็จตามเป้าหมาย?
เมื่อจะศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรมีสิ่งใดเป็นข้อเตือนใจให้ระลึกถึงความสำคัญของธรรมะอย่างแท้จริง?
เตรียมงานสงกรานต์
การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร ?
มีหลักธรรมใดทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้นบ้าง?
ทำอย่างไรจึงจะฝึกตนให้เป็นคนมีเหตุผล สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคนเป็น?
เราจะใช้ทรัพย์คือเวลาอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด?
เหตุใดชาวพุทธแม้มีหลายนิกาย ก็ยังอยู่ร่วมกันได้โดยไม่กระทบกระทั่งกัน?
พ่อแม่ควรเริ่มต้นฝึกลูกอย่างไรดี?
เพราะเหตุใดคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ จึงสำคัญต่อชาวโลกมาก?
เหตุใดพระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นที่การสอนให้แสวงหาปัญญาด้วยการฝึกสมาธิ...?
ทำอย่างไรทุกคนจึงจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน? ทำอย่างไรทุกคนจึงจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน? Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:58 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.