เราจะใช้ทรัพย์คือเวลาอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด?
เวลาคือทรัพย์ที่ทุกชีวิตมี เราจะใช้ทรัพย์คือเวลาอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด?
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง ทรงค้นพบว่า
๑) ชีวิตนี้เป็นทุกข์
การเกิดเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อมีการเกิด ทุกข์นี้เป็นอันพึงหวังได้
๒) ชีวิตของมนุษย์ดำเนินไปภายใต้กฎแห่งกรรม
หากมนุษย์เข้าใจ รู้เท่าทันเรื่องราวของกฎแห่งกรรม
ก็จะสามารถดำเนินชีวิตในโลกให้มีทุกข์น้อย และมีโอกาสพ้นทุกข์ได้
เรื่องสำคัญในชีวิตที่จะต้องทำให้สม่ำเสมอ
เพื่อทำให้ชีวิตเราสามารถเป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ สามารถนำพาชีวิตของตนให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเกิดมาได้
นั่นคือ การศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยจะต้องศึกษาให้เข้าใจจนแจ่มชัด
แล้วสามารถปฏิบัติตามธรรมนั้นได้ ชีวิตถึงจะเป็นสุข สามารถพึ่งตัวเองได้
เมื่อเราจะศึกษาธรรมะ
เราก็ต้องแบ่งเวลาเพื่อศึกษาให้เข้าใจในภาคทฤษฎีและแบ่งเวลานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป
มิฉะนั้นการศึกษาและปฏิบัติธรรมก็จะไม่ก้าวหน้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่า
ความก้าวหน้าในการศึกษาและประพฤติธรรมนั้น ผู้ศึกษาจะจัดลำดับความสำคัญไว้ ๔ เวลา
หรือ ๔ กาล ได้แก่ กาลที่ ๑ กาลแห่งการฟังธรรม กาลที่ ๒ กาลแห่งการสนทนาธรรม
กาลที่ ๓ กาลแห่งการแสดงธรรม กาลที่ ๔ กาลแห่งการปฏิบัติ ตามธรรม
ดังจะอธิบายโดยย่อ ดังนี้
กาลที่
๑ กาลแห่งการฟังธรรม
หมายถึง
กาลหรือเวลาที่จะถือเป็นโอกาสได้พบพระเพื่อฟังธรรม ซึ่งมีหลากหลายจังหวะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
• ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลมาแล้ว พระสงฆ์ท่านเทศน์ทุกวันพระ ฉะนั้นวันพระจึงเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนควรหาโอกาสไปฟังธรรม
• ปัจจุบันนี้โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ดาวเทียม
DMC หลวงพ่อ หลวงพี่ ที่มีความรู้ ค้นคว้ามาอย่างดี
ก็มาเทศน์ใน DMC ทุกวัน ญาติโยมที่มาฟังในโรงเรียนบ้าง
หรือฟังอยู่หน้าจอ DMC บ้าง จัดว่าเป็นการฟังธรรมตามกาล
• เมื่อใดมีการเทศน์ การบรรยายธรรม
โดยท่านผู้มีความรู้ ท่านที่เป็นนักปราชญ์ บัณฑิต หลวงพ่อ หลวงปู่
หรือพระอาจารย์ที่ทรงภูมิรู้ ภูมิธรรม ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ฟังธรรมตามกาล
• เวลาว่าง เวลาสบายใจ เช่น
วันนี้งานการเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีเรื่องหนักอกค้างใจ รีบไปวัด
ไปกราบหลวงพ่อวัดไหนก็ได้ ยิ่งคุ้นกับท่านยิ่งดี นิมนต์หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังสักกัณฑ์
หรือจะอบรมอะไรให้ก็กราบนิมนต์ท่านเถิด
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสบายใจได้อย่างนี้อีก
• เวลาทุกข์อกทุกข์ใจขึ้นมา อย่าไปไหนนะ
รีบไปหาหลวงพ่อวัดที่ใกล้ที่สุดเลย นี่ก็ฟังธรรมตามกาล กาลที่ทุกข์หนัก
ถ้าเลือกไปที่อื่นแทนอาจจะพลาด อาจจะตัดสินใจทำอะไรผิด ๆ จะยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก
การฟังธรรมตามกาลนี้ ขอให้ฟังด้วยความเคารพ
พยายามน้อมใจตาม ตรองตาม ถ้าตรองตามไม่ทัน ต้องรีบบันทึกเอาไว้
จะได้หาโอกาสไปซักถามให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในภายหลัง
ดังนั้น เวลาฟังธรรมก็ควรจะเตรียมอุปกรณ์ให้ดี
มีกระดาษ ปากกา ดินสอ ไว้ด้วย แม้การแต่งกายก็ให้เรียบร้อย ตามขนบธรรมเนียมประเพณี
เช่น การแต่งกายด้วยชุดขาวหรืออย่างน้อยก็เสื้อขาว
ซึ่งจะเสริมบรรยากาศของการฟังธรรม
กาลที่ ๒ กาลแห่งการสนทนาธรรม
สำหรับผู้ที่ตั้งใจปรารถนาดีที่จะเจาะลึกธรรมะที่ได้ฟังมาตามกาลนั้นให้แตกฉานขึ้น
จะได้นำเข้าไปสู่ภาคปฏิบัติ แต่อาศัยลำพังสติปัญญาและประสบการณ์ของเราคนเดียว
บางทีความเข้าใจจะยังไม่ค่อยชัดนัก จำเป็นต้องมาสนทนากันก่อน
มาทำความเข้าใจดูว่าที่เราเข้าใจนั้น ตรงกับที่คนอื่นเขาเข้าใจไหม
บางทีก็เห็นตรงกันบ้าง
ไม่ตรงกันบ้าง บางทีก็ลึกตื้นไม่เท่ากันบ้าง หลังจากการสนทนาธรรมกันแล้ว
เราก็จะได้แง่มุมอีกหลาย ๆ แง่มุม ที่เราไม่เคยคิดไปถึง
การสนทนาธรรมตามกาลจะทำให้เราได้วิธีที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
นี่คือคุณค่าของการสนทนาธรรม
บูรพาจารย์เตือนเอาไว้ว่า ก่อนสนทนาธรรมตามกาล
ขอให้นั่งสมาธิก่อน ถ้านั่งล่วงหน้าเป็นวันได้ยิ่งดี ต้องนั่งสมาธิทำใจให้ดี
เพราะอย่างไรเมื่อสนทนากันก็ต้องเจอที่เห็นไม่ตรงกัน เมื่อเห็นไม่ตรงกัน
ถ้าใครพูดแสดงความเห็นที่ไม่ตรงกันออกมาก็รู้สึกเหมือนถูกขัดคอ เมื่อคิดว่าถูกขัดคอแล้วอาจจะโกรธกันได้
ทุกคนในโลกไม่ชอบให้ใครขัดคอ
เพราะฉะนั้นเวลาจะแย้งข้อความอะไร มีสำนวนหนึ่งที่นิยมใช้แบบชาววัดด้วยกัน “ที่คุณว่าก็ดีนะ
แต่ยังมีอีกแง่มุมทำนองนี้พอเป็นไปได้ไหม” ถ้อยวาจาอย่างนี้ไม่หักไม่โค่นใครให้เสียหน้า เสียความมั่นใจ
ถ้าพูดจากันอย่างนี้ วงสนทนาธรรมก็จะดำเนินต่อไปได้
ในเวลาเดียวกันใครที่ถูกเขาเสนอแนะมาอย่างนี้
ก็ต้องรู้ตัว นึกทบทวนทันทีเหมือนกันว่า ที่เราว่ามานี้มันคงจะมีอะไรพร่องอยู่
ต้องทบทวนให้ดี ถ้าต่างฝ่ายต่างทบทวน ต่างฟังซึ่งกันและกัน
การสนทนาธรรมตามกาลนั้นจะเกิดบุญใหญ่จริง ๆ
กาลที่ ๓ กาลแห่งการแสดงธรรม
เมื่อสนทนาธรรมกันแล้ว
เราจะได้ความรู้ข้อปลีกย่อยในเชิงปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น
เมื่อมีโอกาสจะถ่ายทอดให้ใครต่อขอให้รีบทำเถิด
เพราะกว่าเราจะเกิดความซาบซึ้งธรรมได้ขนาดนั้นไม่ใช่ของง่าย
และการนำความรู้นั้นไปแสดงให้คนอื่นรับทราบด้วย ก็เป็นการทบทวนของเราอย่างลึกซึ้ง อีกทีการแสดงธรรมที่ง่ายสำหรับเราก็คือ
การถ่ายทอดให้คนข้าง ๆ ตัว อาจจะเป็นลูก หลาน น้อง หรือใครก็ได้ที่อยู่ใกล้ตัว
การแสดงธรรมของเราถ้าเป็นไปในลักษณะของการเล่าให้ฟัง จะดูเหมาะสม น่าฟัง
ในการแสดงธรรมตามกาลนี้ มีสิ่งที่ควรระมัดระวัง
คือ ต้องแสดงธรรมโดยยึดหลัก “หลังอิงต้นโพธิ์” หมายความว่า
ทุกอย่างที่แสดงต้องมีหลักฐานยืนยันจากพระไตรปิฎกว่าเป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้
พระอรหันต์ท่านนั้นท่านนี้แสดงเอาไว้ อริยบุคคลที่เป็นฆราวาสชื่อนั้นชื่อนี้พูดเอาไว้
อย่างนี้เรียกว่าหลังอิงต้นโพธิ์
เมื่อสนทนาธรรมหรือแสดงธรรมกับใครก็ตาม
จงแสดงถึงความอัศจรรย์ของธรรม
จงแสดงถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อย่าแสดงว่าข้าพเจ้านี้เป็นบุคคลอัศจรรย์ที่แสดงธรรมได้ลึกซึ้ง เพราะแม้ตอนนี้เราเข้าใจธรรมลึกซึ้งในระดับหนึ่งแล้ว
แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้คิดค้นขึ้นมาเอง
เรากำลังนำธรรมของพระบรมศาสดามาแสดง
เมื่อรับรู้แล้วว่าธรรมเหล่านี้มีความอัศจรรย์อย่างไร
ก็ควรที่จะไปกราบไหว้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครูของเรา
สำหรับหลวงพ่อเอง ทุกครั้งที่มีโอกาสขึ้นแสดงธรรม
จะพยายามให้ได้ประโยชน์ทั้งตัวเองและผู้ฟัง
โดยจะพยายามเจาะลึกธรรมเข้าสู่ภาคปฏิบัติให้ได้
คุณยายสอนวิธีแสดงธรรมหรือวิธีเทศน์ให้หลวงพ่อว่า
เรื่องที่จะเทศน์ให้นำเรื่องที่ตัวเองฝึกตัวได้แล้ว นิสัยไม่ดีที่แก้ได้
หรือที่แก้ได้บ้าง แล้วก็เอาส่วนที่ได้บ้างไปเทศน์
อย่างนี้จะไม่มีการผิดพลาดเพราะเราได้ปฏิบัติมาแล้ว
เมื่อเราเคยใช้ได้ผลแล้วในระดับหนึ่ง ก็ควรที่จะแบ่งปันกันไป ใครเอาไปใช้แล้วได้ผล
เราก็ได้บุญเพิ่มอีก ส่วนวิธีการเทศน์
เราก็เลือกเอาวิธีการสอนของครูบาอาจารย์ที่เราเคยประทับใจการสอนของท่าน เช่น
วิธีอธิบายบางอย่างของท่านนี้ดี บางอย่างท่านโน้นดี ค่อย ๆ
หยิบมาทีละอย่างสองอย่าง สักระยะหนึ่งเราก็จะหลอมมาเป็นบุคลิกของเราเอง
ครูบาอาจารย์เหล่านั้นก็จะได้บุญกับเราด้วย ที่นำวิธีการสอนของท่านมาแสดงธรรม
มาถ่ายทอดธรรม
กาลที่
๔ กาลแห่งการปฏิบัติตามธรรม
ความรู้ธรรมทั้งหมดจากการฟังธรรม สนทนาธรรม
และแสดงธรรม จะบังเกิดผลได้ต้องนำไปปฏิบัติ
คำว่า “ปฏิบัติธรรม”
นั้น มีความหมายที่กว้าง
ฟังธรรมเรื่องไหนแล้วในเรื่องนั้น ๆ มีข้อที่จะต้องปฏิบัติอย่างไรก็นำไปปฏิบัติ
เช่น ฟังธรรมเรื่องทาน พอฟังจบแล้วก็ไปทำทาน ฟังธรรมเรื่องศีล ฟังเสร็จแล้ว
เข้าใจแล้ว ก็ทบทวนศีล แล้วก็ตั้งใจรักษาศีลให้ดี ฟังธรรมเรื่องภาวนา ฟังแล้วก็ไปเจริญสมาธิภาวนา
เมื่อภาวนามากเข้า ๆ
ธรรมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทานหรือศีล ทั้งหมดนั้นจะเนื่องเข้าหากันเป็นเนื้อเดียว
คือธรรมทุกข้อจะนำเข้าสู่การภาวนา ซึ่งเป็นต้นทางแห่งการเข้าถึงธรรมภายในต้นทางแห่งการพ้นทุกข์
พบสุขแท้จริง
เวลาทั้งหมดที่ใช้ไปเพื่อกาลทั้ง ๔ นี้
เป็นเวลาเพื่อชีวิต เพื่อปิดนรก เปิดสวรรค์ สร้างเสบียงใหญ่ไปนิพพาน
เมื่อเราได้ใช้เวลาที่มีในชีวิตนี้ไปกับเรื่องสำคัญ
เรื่องที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวของเราทั้งในปัจจุบันชาติ ชาติหน้า ชาติต่อ ๆ ไป
จนถึงที่สุดแห่งธรรมได้ นั่นคือเราได้ใช้ทรัพย์ที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด
ตามเยี่ยงอย่างที่ผู้มีบุญ
ผู้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อนได้ประพฤติปฏิบัติมา..
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
![]() |
เหตุใดชาวพุทธแม้มีหลายนิกาย ฯ |
![]() |
มีหลักธรรมใดทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้นบ้าง? |
จะดำเนินการอย่างไร การพัฒนาวัดจึงจะสำเร็จตามเป้าหมาย?
ทำอย่างไรจึงจะฝึกตนให้เป็นคนมีเหตุผล สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคนเป็น?
เมื่อจะศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรมีสิ่งใดเป็นข้อเตือนใจให้ระลึกถึงความสำคัญของธรรมะอย่างแท้จริง?
การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร ?
ทำอย่างไรทุกคนจึงจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน?
เตรียมงานสงกรานต์
เราจะใช้ทรัพย์คือเวลาอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
15:07
Rating:

ไม่มีความคิดเห็น: