เหตุใดพระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นที่การสอนให้แสวงหาปัญญาด้วยการฝึกสมาธิ...?
เหตุใดพระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นที่การสอนให้แสวงหาปัญญาด้วยการฝึกสมาธิเจริญภาวนามากกว่าวิธีการอื่น
?
เจ้าชายสิทธัตถะทรงเรียนเก่งมาตั้งแต่เล็ก
เมื่อสมัยที่มีพระชนมายุได้เพียง ๗ พรรษา
พระองค์ก็ทรงเก่งขนาดที่ว่าพออาจารย์พูดจบ ก็ทรงทำตามได้ทันที
ทรงเรียนอยู่กับอาจารย์เป็นเวลา ๗ วัน ก็ทรงเจนจบทั้งหมดของความรู้ที่อาจารย์สอน
เพราะเหตุใดพระองค์ถึงทรงมีพระปรีชาสามารถมากขนาดนั้น
นั่นก็เพราะเมื่อตอนมี พระชนมายุ ๗ พรรษา
พระองค์ทรงมีโอกาสทำสมาธิตามลำพังที่โคนต้นหว้าในวันพิธีแรกนาขวัญ
ซึ่งในครั้งนั้นทรงบรรลุปฐมฌาน คือเข้าถึงดวงปฐมมรรค ซึ่งมีลักษณะเป็นดวงธรรมกลมใส
ๆ อยู่ภายในกายของพระองค์เป็นครั้งแรก
หลังจากนั้น
เมื่อพระองค์เสด็จออกผนวช ก็ทรงใช้ประสบการณ์จากการเข้าถึงปฐมฌานเมื่อตอน ๗ พรรษา
มาต่อยอดความรู้ คือทรงแน่พระทัยว่า
ธรรมะที่ใช้ดับทุกข์ให้สิ้นไปอย่างถาวรนั้นต้องซ่อนอยู่ภายในตัวอย่างแน่นอน
เมื่อพระองค์ทรงมีความมั่นพระทัยอย่างนั้นแล้ว
ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไป
เหลือแต่เอ็นและหนังหุ้มกระดูกก็ตามที ตราบใดที่ยังไม่ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ก็จะไม่ทรงลุกขึ้นจากที่ประทับคือโพธิบัลลังก์แห่งนี้ จากนั้นพระองค์ก็ทรงนั่งทำสมาธิอย่างแน่วแน่
ทรงมองเข้าไปในกายที่ยาววา หนาคืบ กว้างศอก เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ปฐมยาม
มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม ตลอดคืนยันรุ่ง
ในที่สุดพระองค์ก็ทรงรู้จักตัวเองชัดเจนขึ้นตามลำดับ
ๆ จนกระทั่งทรงมองเห็นใจของพระองค์เอง
มองเห็นกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่คอยบีบคั้นบงการใจ มองเห็นธรรมะที่ใช้ดับกิเลสดับทุกข์ได้คือนิพพาน
และมองเห็นกระบวนการที่ธรรมะคือนิพพานนั้นกำจัดกิเลสออกจากใจรอบแล้วรอบเล่า
จนกระทั่งกิเลสสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เป็นสมุจเฉทปหาน ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นของวันเพ็ญขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันวิสาขบูชานั้นเอง
คนทั้งโลกไม่มีใครเห็นใจตัวเอง
แต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชไม่นานก็ทรงเห็นใจของพระองค์เองได้
แล้วทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพุทธบริษัททั้ง ๔
ให้พิจารณาเข้าไปข้างในเนือง ๆ เพื่อรู้จักตัวเองให้มากที่สุด
ไม่ต้องไปห่วงเรื่องรู้จักคนอื่น
เพราะเมื่อรู้จักตัวเองแล้วก็จะรู้จักคนทั้งโลกเอง
การที่หลวงพ่อยกพุทธประวัติขึ้นมาเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก
ก็เพราะว่าก่อนที่จะตอบคำถามนี้
เรามีเรื่องพื้นฐานที่จะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน นั่นคือ คนที่ยังไม่เคยฝึกสมาธิหรือเพิ่งเริ่มฝึกสมาธิใหม่
ๆ จะพบปัญหาว่าเขาไม่คุ้นกับการประคองใจให้มองกลับเข้ามาในตัวเอง
เพราะเขาชอบมองออกไปนอกตัวเป็นปกตินิสัย
ใจของเขาจึงไปติดอยู่กับเรื่องนอกตัวอยู่ตลอดเวลา นาน ๆ
จะดึงใจกลับเข้ามาในตัวได้สักที ทำให้เขามีสมาธิกระท่อนกระแท่น และทำให้เขาไม่ค่อยเชื่อว่า
การฝึกสมาธิเป็นเรื่องที่ดี
ตรงนี้คือความแตกต่างกับคนที่ฝึกสมาธิอยู่เป็นประจำ
โดยเฉพาะคนที่ฝึกสมาธิหยุดใจนิ่งจนกระทั่งเห็นดวงปฐมมรรคในกลางกายอย่างชัดเจนแล้ว
เขาจะมีความสามารถพิเศษประจำตัวเกิดขึ้นมาเป็นปกติวิสัย
นั่นคือการมองเข้าไปในตัวเองเป็นปกติ ใจของเขาจึงไม่ไปยึดมั่นถือมั่นอยู่กับเรื่องนอกตัว
คนที่มีปกติมองเข้าไปในตัวหรือหมั่นตรึกดวงธรรมในกลางกาย
จะมีนิสัยว่าเวลามองอะไรก็ตามจะมองจากข้างในเป็นหลัก
หรือหากมีเรื่องต้องครุ่นคิดตัดสินใจก็จะไม่ปล่อยใจไปข้างนอก แต่จะทำใจนิ่ง ๆ
แล้วพิจารณาจากข้างใน เพราะเมื่อใจบริสุทธิ์ แหล่งความคิดก็บริสุทธิ์ ความคิดก็จะถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ซึ่งเท่ากับทำให้คำพูด การกระทำ
การประกอบอาชีพการงานถูกต้องตรงตามหนทางแห่งความสำเร็จไปโดยปริยาย
เมื่อสมัยที่คุณยายอาจารย์ฯ ยังมีชีวิตอยู่
หลวงพ่อเคยมีโอกาสสนทนาธรรมกับท่าน คุณยายท่านถามให้ได้คิดว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยการเดินทางตระเวนไปรอบโลก
หรือว่าทรงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยการมองเข้าไปในตัวของพระองค์เอง?
คำตอบคือ มองเข้าไปในตัวเอง
ซึ่งก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยการฝึกทำสมาธิ เจริญภาวนากระทั่งใจหยุดนิ่ง
มองเข้าไปในศูนย์กลางกายของพระองค์เอง จนกระทั่งทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔
เนื่องจากพวกเราเองก็ยังถือว่าเป็นผู้ฝึกใหม่กันอยู่
แล้วงานทำภาวนาก็เป็นงานที่ต้องทำกันอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายภพหลายชาติ
กว่าจะตรัสรู้ได้เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ ดังนั้นการมองเข้าไปในตัว
ซึ่งเป็นก้าวแรกของการบรรลุธรรมนั้น จึงเป็นสิ่งที่เราทิ้งไปไม่ได้
สำหรับข้อดีในเบื้องต้นของการมองเข้าไปข้างในนั้น
ข้อแรก คือ จะทำให้เรารู้จักตัวเอง
คือเมื่อหมั่นมองเข้าไปข้างในก็จะเห็นกายตัวเอง
ข้อสอง คือ เมื่อเห็นกายตัวเองแล้ว
ก็จะเห็นนิสัยของตัวเราเอง ทำให้เราแก้ไขปรับปรุงตัวเอง ได้ถูกจุดมากขึ้นตามลำดับ
ข้อสาม
คือ เมื่อมองข้างในกลางกายของเราบ่อย ๆ
ก็จะเริ่มมองเห็นใจของตัวเอง
ลำพังแค่การเห็นนิสัยตัวเองได้ทะลุปรุโปร่ง
ก็จะทำให้เราเข้าใจนิสัยคนทั้งโลกได้เลยทีเดียว และสามารถทำความเข้าใจได้ว่า
สาเหตุที่เขามีนิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเพราะเขาฝึกตัวเองมาอย่างไร
หรือถูกสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมให้เติบโตมาอย่างไร
กลายเป็นปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจนิสัยตัวเอง
ก่อให้เกิดความเข้าใจนิสัยเพื่อนมนุษย์ขึ้นมาได้เลยทีเดียว
ดังนั้น ถ้าลูกต้องการที่จะมีปัญญาเฉียบจริง ๆ
ก็ต้องฝึกนะลูกนะ ฝึกมองเข้าไปข้างในศูนย์กลางกายของเราเองบ่อย ๆ
ในที่สุดลูกก็จะรู้จักนิสัยตัวเอง เมื่อเห็นนิสัยทั้งดีและไม่ดีของตัวเองแล้ว
ลูกก็จะแก้ไขได้ และจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา เพราะลูกจะเป็นคนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เอาใจเราไปใส่ใจเขา ด้วยการหมั่นมองเข้าไปข้างในตัวเอง ปัญญาที่เกิดจากการสังเกตตัวเองก็จะเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ
จนกลายเป็นปัญญาที่มีความละเอียดลออ เข้าใจตัวเอง เข้าใจเพื่อนมนุษย์ เข้าใจโลก
แล้วลูกก็จะเข้าถึงธรรมในตัวไปตามลำดับ ๆ ในสักวันหนึ่ง
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๔๖
เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
เพราะเหตุใดคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ ฯ |
การไม่รู้จักตัวเองจะก่อให้เกิดผลเสียต่อชีวิตของเราอย่างไร? |
คลิกอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาของวารสารอยู่ในบุญปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
จะดำเนินการอย่างไร การพัฒนาวัดจึงจะสำเร็จตามเป้าหมาย?
ทำอย่างไรจึงจะฝึกตนให้เป็นคนมีเหตุผล สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคนเป็น?
เมื่อจะศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรมีสิ่งใดเป็นข้อเตือนใจให้ระลึกถึงความสำคัญของธรรมะอย่างแท้จริง?
การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร ?
ทำอย่างไรทุกคนจึงจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน?
เตรียมงานสงกรานต์
ทำอย่างไรจึงจะฝึกตนให้เป็นคนมีเหตุผล สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคนเป็น?
เมื่อจะศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรมีสิ่งใดเป็นข้อเตือนใจให้ระลึกถึงความสำคัญของธรรมะอย่างแท้จริง?
การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร ?
ทำอย่างไรทุกคนจึงจะมีความสุขในการทำงานร่วมกัน?
เตรียมงานสงกรานต์
การไม่รู้จักตัวเองจะก่อให้เกิดผลเสียต่อชีวิตของเราอย่างไร? (บทความปีถัดไป)
เหตุใดพระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นที่การสอนให้แสวงหาปัญญาด้วยการฝึกสมาธิ...?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
18:25
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: