สงครามคีย์บอร์ด
มีความเห็นอย่างไรต่อความรุนแรงของสงครามคีย์บอร์ด?
มนุษย์ทุกคนยังมีกิเลสอยู่ แต่สิ่งที่ช่วยให้เราควบคุมกิเลสในตัวได้
ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ หรือความหลงก็ตาม หลัก ๆ มี ๓ อย่าง คือ ๑. พลังขับเคลื่อนทางศีลธรรม เช่น
ความกลัวบาป รักบุญ จึงไม่กล้าไปทำสิ่งที่ผิด ๆ ๒. พลังขับเคลื่อนทางครอบครัว เช่น ทำไม่ดีแล้วกลัวพ่อแม่จะไม่สบายใจ
ไม่เอาดีกว่า ๓. พลังขับเคลื่อนทางสังคม
พลังทางสังคมช่วยควบคุมเราได้เหมือนกัน เพราะเรากลัวสังคมจะไม่ยอมรับ
กลัวคนอื่นมองเราไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นคนในชุมชน เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนในโรงเรียน
ในมหาวิทยาลัย ฯลฯ
แต่ในสังคมออนไลน์เราสามารถปกปิดตัวเองไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเราคือใคร
เราไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองโพสต์เท่าไรนัก เพราะเราใช้นามแฝงได้
คนอื่นไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราจึงเห็นการใช้คำหยาบ ๆ คาย ๆ ที่ไม่ใช้กันในชีวิตจริง
เพราะว่ากลัวเสียภาพลักษณ์ แต่พอเข้าไปในโลกออนไลน์แล้ว อยากจะพูดจะทำอะไรก็เต็มที่ไปเลย
รวมทั้งความรับผิดชอบต่อครอบครัวก็ไม่ค่อยมีด้วย เพราะว่าไม่ได้แสดงตัวตน
เพราะฉะนั้นแรงควบคุมทางสังคมจึงอ่อนลง เหลือแค่แรงควบคุมทางศีลธรรมเป็นหลัก
จากที่มี ๓ แรงคอยควบคุมอยู่ ก็เหลือแค่แรงเดียว
เมื่อพลังที่คอยควบคุมอยู่อ่อนแรงลง ศัพท์ที่ดูเถื่อน ๆ
ที่ปกติในชีวิตประจำวันไม่ใช้กัน จึงนำมาใช้ในสังคมออนไลน์
ส่วนในสังคมออนไลน์ที่มีการแสดงตัวตนนั้นก็มีแค่เรากับเพื่อน ๆ
เพื่อนก็รู้ว่าเราเป็นใคร แล้วทำไมถึงยังมีการใช้ถ้อยคำที่ดิบ
ๆ กว่าที่สังคมปกติใช้นิดหนึ่ง นี้เป็นเพราะความคุ้นเคยกันด้วย
และสังคมออนไลน์มันก็แทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา
แม้กำลังทำงานอยู่ก็สามารถพิมพ์อะไรลงไปได้ แต่พิมพ์ยาว ๆ ไม่สะดวก
เราจึงไม่ได้ประดิดประดอยถ้อยคำให้สวยหรู หรือบางทีพอเจออะไรปุ๊บ
เราก็ต้องการแสดงความรู้สึกออกไปตอนนั้น จึงพิมพ์ออกไปเลย คำศัพท์ที่ใช้จึงสั้นลง
ความไพเราะและความสุภาพก็หย่อนลงไปด้วย นอกจากนี้การที่ต้องแสดง Status บ่อย
ๆ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ ก็คือการเอาสิ่งที่อยู่ในความคิดของเราออกมาด้วย
ซึ่งเหมือนกับเป็นการเปลือยตัวเองออกมา ก็เลยเกิดอาการอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ที่มาที่ไปเป็นอย่างนี้
ปัจจุบันนี้ต่างคนต่างพูดคุยกับเพื่อนออนไลน์มากกว่าคนที่อยู่ด้วยกัน แบบนี้จะมีผลต่อการปฏิสัมพันธ์กันไหม?
มีผลมากเลย ปกติคนเราต้องการความเป็นหนึ่ง
ถ้าเราไปอยู่กับใครแล้วเขาไม่สนใจเหมือนเราเป็นอากาศธาตุ
เรารู้สึกอย่างไร คนเราปกติเวลาเจอกันก็ต้องพูดคุยกัน
แม้บางคนพูดน้อยแต่เขาก็ไม่ได้แบ่งความสนใจไปให้คนอื่น
แต่ทันทีที่มีสังคมออนไลน์เข้ามาโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวไปทุกที่
พอมีอะไรเข้ามาหน่อยต้องมานั่งกด ๆ นั่นหมายถึงว่า
ระหว่างที่เรากำลังอยู่กับคนนั้น มีใครก็ไม่รู้แทรกตัวเข้ามาในโลกออนไลน์ แล้วดึงความสนใจและเวลาของเราไปอยู่กับเขาแทน
ลองคิดดูสิว่า คู่สนทนาที่นั่งอยู่กับเราเขาจะรู้สึกอย่างไร
เขาจะรู้สึกทันทีว่า เราไม่เห็นความสำคัญของเขา ไม่ให้เกียรติเขา
เรากำลังปันใจไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ ความรู้สึกอย่างนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่ดี
การทำแบบนี้จึงมีผลเสียมาก และจะทำให้เราเกิดความคุ้นเคยด้วย
วันไหนไม่ได้อยู่ในโลกออนไลน์ เราจะรู้สึกว่าขาดอะไรไป
เคยมีแบบสอบถามที่อเมริกาให้เลือกระหว่างโทรศัพท์มือถือกับเพื่อน
พบว่าคนส่วนใหญ่เลือกโทรศัพท์ ถ้าไม่มีโทรศัพท์รู้สึกว่าชีวิตโหวงเหวง
กลายเป็นว่าความคุ้นเคยที่เรามีให้โทรศัพท์มือถือเหนือกว่าความคุ้นเคยกับตัวบุคคลจริง
ๆ ไปแล้ว โทรศัพท์กลายเป็นเพื่อนคู่ชีวิตของเราแทน ซึ่งต้องขอบอกว่า “มันเกินเลยไปแล้ว”
เราควรหาจุดที่พอดีกันเสียที ไม่อย่างนั้นมันจะทำลายชีวิตจริงของเรา
ลองคิดดูว่า เวลาเราทำงานอยู่ เดี๋ยวก็มีเสียงดังขึ้นมา
กำลังจะขีดจะเขียนอะไรก็ต้องหยุด ระหว่างหยุดแค่แป๊บเดียวเพื่อมาดูโทรศัพท์
สมาธิเราเสียไปแล้ว ยิ่งถ้ากดโทรศัพท์ต่อไปก็เสียเวลาเข้าไปอีก
พอกลับมาทำงานได้อีก ๕ นาที ๑๐ นาที มีเสียงเข้ามาอีกแล้ว
ประสิทธิภาพในการทำงานจะลดลงไปมากเลย
แต่โลกออนไลน์ก็มีประโยชน์มากถ้าใช้เป็น เพราะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดี
และช่วยในการสื่อสารได้ดี เช่น ที่วัดมีการอบรมมากมาย
มีครูบาอาจารย์กลุ่มนั้นกลุ่มนี้เข้ามา มีจุดอบรมเป็นร้อยจุด
จึงมีการตั้งวงแชตโดยใช้โปรแกรม Line เวลาใครทำงานแล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็เอาข้อมูลมาแชร์กัน
หรือใครเจอเทคนิคดี ๆ ก็เอามาแชร์กัน ถ้าส่วนกลางต้องการแจ้งข้อมูลอะไรก็ส่งไปในวง
Line ทุกคนก็จะรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ประหยัดเวลาในการส่งข่าวสารได้มหาศาล แต่ถ้าหากใช้ไม่เป็นก็มีโทษมหาศาลเหมือนกัน
ดังที่โบราณกล่าวไว้ว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์
การแชตสิ่งที่ไม่มีสาระหรือใช้คำพูดหยาบคายถือว่าผิดศีลหรือไม่?
ในการสื่อสารไม่จำเป็นต้องใช้เสียงอย่างเดียว จะเขียนเป็นตัวหนังสือก็ได้
แต่ถ้าเขียนสิ่งที่ไม่จริงก็เหมือนกับการพูดนั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องโกหกก็ผิดศีล
หรือถ้าเป็นคำหยาบก็ผิด ไม่ว่าพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
ผิดศีลทั้งนั้น ถ้าสื่อสารออกไปแล้วคู่สนทนารู้เรื่อง และเราก็มีเจตนาด้วย
แบบนี้ผิดศีลแน่ ถ้าเราไม่ตั้งใจแต่ไปกระทบเขาโดยไม่เจตนา ก็ยังไม่ผิดศีล
แต่ผิดธรรม และจะทำให้มีวิบากกรรม คือ ต่อไปจะมีคนอื่นมาทำให้เราเจ็บใจหรือเดือดร้อนใจโดยไม่เจตนาได้เหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องตั้งสติดี ๆ
เคยอ่านในพระไตรปิฎกพบเรื่องราวว่ามีชาวประมงไปจับปลาได้ตัวหนึ่ง
เป็นปลาตัวใหญ่สีทองสวยงามมาก แต่พออ้าปากมีกลิ่นเหม็นหึ่งไปทั้งเมือง
เพราะวิบากกรรมในอดีตที่เคยไปตำหนิบุคคลที่มีศีลมีธรรม
ในปัจจุบัน ใครที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กไปแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่หยาบคายล่วงเกินผู้อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีศีลมีธรรมสูงซึ่งสิ่งที่แสดงออกไปนั้นสามารถกระจายออกไปได้กว้างขวางทั่วทั้งโลก
เพราะโลกออนไลน์ไม่มีขอบเขต เห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่น่าแปลกใจหรอกว่า
ทำไมปลาในครั้งพุทธกาลอ้าปากทีหนึ่งเหม็นทั้งเมือง
ใครใช้โลกออนไลน์ในทางที่เป็นโทษแล้วละก็
ภพต่อไปอ้าปากทีหนึ่งอาจจะเหม็นทั้งโลกเลยก็ได้ ตามวิบากกรรมที่ตัวเองได้ทำเอาไว้
ทุกวันนี้จะเห็นว่าหลาย ๆ คนขยันตั้ง Status
จะทำอะไรก็ต้องเขียนบอกให้คนอื่นรู้
มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?
เรื่องนี้เป็นเพราะคนเรามีความรู้สึกเหงา แต่ก่อนในสังคมเกษตรกรรม
คนเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ต่อมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมก็อยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยว
มีพ่อ แม่ และลูก ๒-๓ คน เป็นครอบครัวเล็ก ๆ
พ่อแม่ก็งานยุ่งลูกก็อยู่กับเพื่อนบ้างอะไรบ้าง พอมาเป็นยุคข้อมูลข่าวสารอย่างนี้
แต่ละคนกลายเป็นปัจเจกชนไปเลย คือ อยู่ตัวคนเดียว ก็เลยต้องเข้าไปหาโลกออนไลน์
โดยมีวิธีแก้เหงาก็คือสื่อสารกับเพื่อนในวงการออนไลน์
แล้วเล่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ กำลังคิดอยู่
ขนาดไปรับประทานอาหารก็ยังถ่ายรูปกับข้าวไปโชว์ในโลกออนไลน์ ไปไหนมาไหนก็ต้องบอก
ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปบอกเขาทำไม จริง ๆ แล้วเป็นการแสดงถึงความเหงาในใจของคนนั่นเอง
วิธีแก้เหงาง่าย ๆ ก็คือ การหลับตาเบา ๆ
ทำใจให้เป็นสมาธิตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗ อยู่กับตัวเราเอง
แล้วเราก็จะพบว่าการอยู่คนเดียว หลับตาสบาย ๆ วางใจนิ่ง ๆ อยู่กับพระรัตนตรัยภายใน
ไม่เหงาเลย ใจจะอิ่มเอมและมีความสุขสดชื่น
ในโลกออนไลน์ การคลายเหงาด้วยวิธีสื่อสารกับเพื่อนอย่างนั้นเหมือนคนที่กระหายน้ำ แล้วไปดื่มน้ำทะเลแก้กระหาย
แต่พอกลืนลงไปกลับกระหายยิ่งกว่าเก่า เพราะว่ามันเค็ม แต่ถ้านั่งหลับตาเบา ๆ แล้ว
เราจะอิ่มใจ เหมือนเราแก้กระหายด้วยการดื่มน้ำที่ใสบริสุทธิ์
การรู้จักสร้างความสงบใจจึงถือเป็นยาที่สำคัญมาก ๆ
สำหรับการรับข้อมูลข่าวสารที่กำลังจะท่วมตัวเรา
และแย่งชิงเวลาของเราไปจนกระทั่งความเป็นส่วนตัวแทบจะไม่มีเลย บางคนกลางคืนไม่กล้าปิดโทรศัพท์อย่างมากปิดเสียง
ตี ๑ ตี ๒ ลุกไปเข้าห้องน้ำยังอุตส่าห์เปิดดูว่ามีใครส่งอะไรเข้ามาหรือเปล่า
บางทีไม่นอนเลย นั่งกดดูอะไรต่อไปอีก
ชีวิตความเป็นส่วนตัวรวมทั้งเวลานอนยังไม่มีเลย เพราะฉะนั้นต้องจัดสรรให้พอดี
และรู้จักการสงบจิตตัวเองด้วยการทำสมาธิ แล้วเราจะเอาตัวรอดได้อย่างดีในสังคมยุคออนไลน์
วิธีสื่อสารออนไลน์ให้สร้างสรรค์ควรทำอย่างไร
และจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรกระทำ?
ให้คิดง่าย ๆ อย่างนี้ว่า สิ่งที่เรากำลังจะโพสต์ลงไปนั้น
คนอื่นเขาอยากรู้หรือเปล่า เรากำลังโพสต์สนองความต้องการของเราหรือว่าโพสต์สิ่งที่มีประโยชน์
ให้ยึดหลักว่าหนทางแห่งความสำเร็จต้อง Outside In ไม่ใช่
Inside Out
Inside Out คือ
การเอาตัวเองเป็นที่ตั้งอยากจะพูดหรืออยากจะทำอะไรก็ถือเอาตัวเองเป็นใหญ่
แบบนี้จะมีปัญหาเยอะ แต่คนที่ Outside In คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา
อย่างนี้จะประสบความสำเร็จในชีวิต ใครก็รัก เพราะว่าเข้าใจเขา
บางคนโพสต์ว่าเข้าห้องน้ำแล้ว ทานข้าวแล้ว นอนแล้ว
คนอื่นเขาไม่เห็นจะอยากรู้อะไรขนาดนั้น เราไปบอกให้ชาวบ้านรู้ทำไม
แต่ถ้าเราไปเจออะไรดี ๆ ไปเจอคำคมหรือข้อคิดที่น่าสนใจ แล้วให้สิ่งดี ๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างนี้เราจะกลายเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ
เพราะเขารู้สึกว่ามาดูแล้วมีประโยชน์
ในปัจจุบันนี้ คนทุกคนสามารถเป็นสื่อมวลชนได้ นำเสนอเรื่องราวเข้าไปใน Social
Media ได้
พอเป็นอย่างนี้เราต้องระวังนิดหนึ่งอย่าเอาเรื่องไม่ดีออกไป
ถ้านำเสนอแต่เรื่องไม่ดีก็เหมือนว่าเรากำลังขับเคลื่อนสังคมให้ไปในทางที่เป็นลบ
แต่ถ้าทุกคนรู้จักควบคุมตัวเองให้ดีว่า เราจะไม่เติมฟืนเติมไฟเข้าไปในกองเพลิงใหญ่
แต่จะช่วยถอนฟืนออกมา แล้วก็ให้สิ่งดี ๆ แก่สังคมออนไลน์
แบบนี้เราก็จะเป็นคนที่มีส่วนในการพัฒนา Social Media เหล่านี้ให้เป็นสื่อที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ) จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๖๐ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
คลิกอ่านข้อคิดรอบตัวของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
|
คลิกอ่านข้อคิดรอบตัวของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ทำไมต้องสั่งสมบุญบ่อย ๆ (ปีก่อนหน้า)
ชาตินี้ ชาติหน้า (ปีถัดไป)
สงครามคีย์บอร์ด
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:23
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: