วัดโบสถ์บน สถานที่บรรลุวิชชาธรรมกายของพระผู้ปราบมาร
ในวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันมหาปูชนียาจารย์ ที่เหล่าศิษยานุศิษย์จะได้มาตรึกระลึกถึงมหาปูชนียาจารย์ทั้ง
๓ ท่าน เพราะเป็นวันคล้ายวันละสังขารของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาทองสุก สำแดงปั้น ในปี พ.ศ.
๒๕๐๖ และเป็นวันสลายร่างคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในปี พ.ศ.
๒๕๔๕ สำหรับในปีนี้จะมีพิธีสำคัญ คือ
การอัญเชิญรูปหล่อทองคำของพระมงคลเทพมุนีไปประดิษฐาน ณ วัดโบสถ์บน บางคูเวียง สถานที่บรรลุธรรมของพระเดชพระคุณหลวงปู่
ซึ่งจะได้นำประวัติความสำคัญของสถานที่แห่งนี้มาแสดงให้แก่ทุกท่านได้ทราบ
วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยฝั่งตะวันตก
ตำบลบางคูเวียง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งยังอนุรักษ์โบราณสถานไว้ในสภาพสมบูรณ์
ประวัติความเป็นมาและผู้สร้างวัดโบสถ์บน บางคูเวียง
ไม่แน่ชัด แต่มีเรื่องเล่าที่ปรากฏในหนังสือวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๒ (พิมพ์เมื่อ
พ.ศ. ๒๕๒๖)
ว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเคยเสด็จมาประทับอยู่บริเวณที่ตั้งวัดนี้
ภายหลังทรงยกที่ดินให้สร้างเป็นวัด โดยโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างถาวรวัตถุที่เป็นศิลปกรรมแบบอยุธยา มีเอกลักษณ์ คือ พระอุโบสถเป็นรูปทรงเรือสำเภา
อันหมายถึง การเดินทางสัญจรและการค้าในอดีต
สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๐๐ ในสมัยอยุธยา
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๑๐
ย้อนรอยประวัติศาสตร์
ณ วัดโบสถ์บน
ภิกษุหนุ่มนามว่า สด จนฺทสโร
เป็นผู้ที่สนใจในการเรียนด้านวิปัสสนาเป็นชีวิตจิตใจ นับจากวันแรกที่บวช
ท่านได้เรียนวิปัสสนากับพระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ ตลอดพรรษาแรก
นอกจากนี้ท่านยังหาความรู้ด้านวิปัสสนาเพิ่มเติมจากตำรา
โดยส่วนใหญ่อ่านจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ถ้าวันไหนหยุดเรียนคันถธุระ ท่านมักจะไปหาพระอาจารย์ต่าง
ๆ ที่มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา
เพราะต้องการหาความรู้เพิ่มเติม สมัยที่ท่านเรียนอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ได้รู้จักกับหลวงพ่อนก
จึงไปเยี่ยมหลวงพ่อนกที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง
หลวงพ่อนกมักให้ท่านไปเทศน์แทนอยู่เสมอ
กิจวัตรที่ท่านทำเป็นประจำเวลาไปอยู่วัดโบสถ์บน
บางคูเวียง คือ เวลาบ่ายสองโมง ท่านจะเข้าไปปฏิบัติสมาธิในโบสถ์
บรรยากาศในสมัยนั้น รอบโบสถ์มีต้นไม้มาก เป็นป่าล้อมรอบ มีความเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ
ท่านจึงไป ๆ มา ๆ ที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง อยู่เป็นประจำ
เมื่อท่านหยุดเรียนด้านคันถธุระแล้ว จึงมุ่งปฏิบัติด้านวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง
ในขณะนั้นท่านต้องการที่จะไปจำพรรษาที่วัดโบสถ์บน
บางคูเวียง เพราะต้องการจะตอบแทนพระคุณของเจ้าอธิการชุ่ม (เจ้าอาวาสวัดโบสถ์บน
บางคูเวียง ในสมัยนั้น)
ซึ่งเคยถวายคัมภีร์มูลกัจจายน์และคัมภีร์พระธรรมบทให้ท่านได้เรียนพระปริยัติธรรม
ด้วยการช่วยแสดงธรรมให้แก่พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในวัด
ท่านจึงกราบลาท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ
เดินทางไปจำพรรษาที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ในพรรษาที่ ๑๒
เมื่อถึงกลางพรรษา ท่านก็มีความคิดว่า “ในเมื่อเราตั้งใจจริง ๆ ในการบวช
จำเดิมอายุ ๑๙ ปี เราปฏิญาณตนบวชจนตาย ขออย่าให้ตายในระหว่างก่อนบวช
บัดนี้ก็ได้บอกลามาถึง ๑๕ พรรษา* ย่างเข้าพรรษานี้แล้ว
ก็พอแก่ความประสงค์ของเราแล้ว
บัดนี้ของจริงของแท้ที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ท่านเห็นเรายังไม่ได้บรรลุ
ยังไม่รู้ไม่เห็น สมควรแล้วที่จะต้องกระทำอย่างจริงจัง” (*ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปี)
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ (ปี พ.ศ. ๒๔๖๐)
เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็เข้าไปนั่งสมาธิเจริญภาวนาในพระอุโบสถ
ขณะนั้นเวลาประมาณแปดโมงเศษ ๆ ท่านเริ่มทำความเพียร โดยตั้งใจว่า
หากยังไม่ได้ยินเสียงกลองเพลจะไม่ยอมลุกจากที่
เมื่อตั้งใจดังนั้นแล้วก็หลับตาภาวนา “สัมมาอะระหัง”
ไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งความปวดเมื่อยและอาการเหน็บชาค่อย ๆ เพิ่มทีละน้อย ๆ
และมากขึ้นจนมีความรู้สึกว่ากระดูกทุกชิ้นแทบจะระเบิดหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ
จนเกือบจะหมดความอดทน ความกระวนกระวายใจก็ตามมา ท่านรำพึงในใจว่า “เอ...แต่ก่อนเราไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย
พอตั้งสัจจะลงไปว่า ถ้ากลองเพลไม่ดังจะไม่ลุกจากที่ เหตุใดมันจึงเพิ่มความกระวนกระวายใจมากมายอย่างนี้
ผิดกว่าครั้งก่อน ๆ ที่นั่งภาวนา เมื่อไรหนอกลองเพลจะดังสักที” คิดไปจิตก็ยิ่งแกว่งและซัดส่ายมากขึ้น
จนเกือบจะเลิกนั่งหลายครั้ง แต่เมื่อได้ตั้งสัจจะไปแล้ว ท่านก็ทนนั่งต่อไป ในที่สุดใจก็ค่อย ๆ
สงบลงทีละน้อย แล้วรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน
เห็นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่
ในใจชุ่มชื่นเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก
ความปวดเมื่อยหายไปไหนไม่ทราบ ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงกลองเพลก็ดังขึ้น
วันนั้นพระเดชพระคุณหลวงปู่มีความสุขตลอดทั้งวัน ดวงธรรมขั้นต้นซึ่งเป็นดวงใสก็ยังเห็นติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา
ในช่วงเย็น
หลังจากได้ร่วมลงฟังพระปาฏิโมกข์กับเพื่อนภิกษุ
ท่านได้เข้าไปในพระอุโบสถแล้วตั้งสัตยาธิษฐานว่า “แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่หนัง
เอ็น กระดูก ก็ตามที ถ้านั่งลงไปแล้วไม่บรรลุธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเห็น
จะไม่ยอมลุกขึ้นจากที่จนตลอดชีวิต” เมื่อตั้งจิตอธิษฐานเสร็จ
จึงเริ่มนั่งและตั้งจิตอ้อนวอนแด่พระพุทธเจ้าว่า... “ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้า
ทรงประทานธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้อย่างน้อยที่สุดแลง่ายที่สุด
ที่พระองค์ได้ทรงรู้แล้วแก่ข้าพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้ารู้ธรรมของพระองค์แล้วเป็นโทษแก่ศาสนาของพระองค์แล้ว
ขอพระองค์อย่าทรงพระราชทานเลย ถ้าเป็นคุณแก่ศาสนาของพระองค์แล้ว
ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานแก่ข้าพระองค์
ข้าพระองค์รับเป็นทนายศาสนาในศาสนาของพระองค์ไปจนตลอดชีวิต”
เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ตั้งความปรารถนาแล้ว
ก็เริ่มนั่งขัดสมาธิเข้าที่ภาวนา
พอดีนึกถึงมดขี้ที่อยู่ระหว่างช่องแผ่นหินซึ่งกำลังไต่ไปมา จึงหยิบขวดน้ำมันก๊าด
เอานิ้วมือจุ่มเพื่อจะเขียนวงให้รอบตัวกันมดรบกวน
แต่พอจรดนิ้วที่พื้นยังไม่ถึงครึ่งวง ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “ชีวิตสละได้ แต่ทำไมยังกลัวมดขี้อยู่เล่า” ท่านนึกละอายตัวเอง จึงวางขวดน้ำมันลง
แล้วนั่งเข้าที่ได้ประมาณครึ่งค่อนคืน
เมื่อใจหยุดเป็นจุดเดียวกันก็มองเห็นดวงใสบริสุทธิ์ขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่
ซึ่งยังติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายจากเมื่อเพล ยิ่งมองยิ่งใสสว่างมากขึ้น
และขยายใหญ่ขนาดเท่าดวงอาทิตย์ ดวงใสยังคงสว่างอยู่อย่างนั้น โดยที่ท่านก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เพราะทุกสำนักที่ท่านได้ศึกษามาไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
ขณะที่ใจหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากจุดกลางดวงนั้นว่า “มัชฌิมา ปฏิปทา” แต่ขณะที่เสียงนั้นดังแผ่วขึ้นมาในความรู้สึก
ก็เห็นจุดเล็ก ๆ เรืองแสง สว่างวาบขึ้นมาจากกลางดวงนั้น
เสมือนจุดศูนย์กลางของวงกลม ความสว่างของจุดนั้นสว่างกว่าดวงกลมรอบ ๆ
ท่านมองเรื่อยไป พลางคิดในใจว่า “นี่กระมังทางสายกลาง
จุดเล็กที่เราเพิ่งจะเห็นเดี๋ยวนี้อยู่กึ่งกลางพอดี ลองมองดูซิ จะเกิดอะไรขึ้น” จุดนั้นค่อย ๆ ขยายขึ้นและโตเท่ากับดวงเดิม
ดวงเก่าหายไป ท่านมองไปเรื่อย ๆ ก็เห็นดวงใหม่ลอยขึ้นมาแทนที่ เหมือนน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาแทนที่กัน
ต่างแต่ใสยิ่งขึ้นกว่าดวงเดิม ในที่สุดก็เห็นกายต่าง ๆ
ผุดซ้อนกันขึ้นมาจนถึงธรรมกาย เป็นพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ใสบริสุทธิ์ยิ่งกว่าพระพุทธรูปบูชาองค์ใด
เสียงพระธรรมกายกังวานขึ้นมาในความรู้สึกว่า “ถูกต้องแล้ว”
ความปีติสุขก็เกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ท่านถึงกับรำพึงขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เออ...มันยากอย่างนี้นี่เอง
ถึงได้ไม่บรรลุกัน ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ต้องรวมเป็นจุดเดียวกัน
เมื่อหยุดแล้วจึงดับ เมื่อดับแล้วจึงเกิด” การค้นพบวิชชาธรรมกายอันเป็นของจริงของแท้
เป็นทางบรรลุธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุมาแล้ว
เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก พระเดชพระคุณหลวงปู่จึงมาคำนึงว่า “คัมภีโรจายัง* ธรรมเป็นของลึกซึ้งถึงเพียงนี้
ใครจะไปคิดคาดคะเนเอาได้ พ้นวิสัยของความตรึกนึกคิด
ถ้ายังตรึกนึกคิดอยู่ก็เข้าไม่ถึง ที่จะเข้าถึงได้ต้องทำให้รู้ตรึก รู้นึก
รู้คิดนั้น หยุดเป็นจุดเดียวกัน แต่พอหยุดก็ดับ แต่พอดับแล้วก็เกิด
ถ้าไม่ดับแล้วไม่เกิด นี่เป็นของจริง หัวต่อมีเป็นอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนดังนี้แล้ว
ก็ไม่มีไม่เป็นเด็ดขาด” *คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย แปลว่า ธรรมะนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
เนื่องจากวัดโบสถ์บนมีความสำคัญ คือ
เป็นสถานที่บรรลุธรรมของพระมงคลเทพมุนี ดังนั้นพระเทพญาณมหามุนีจึงนำเหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้มาร่วมหล่อรูปเหมือนทองคำเพื่อไปประดิษฐาน
ณ วัดแห่งนี้ และบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะได้พร้อมใจกันอัญเชิญรูปหล่อทองคำของพระเดชพระคุณหลวงปู่ไปประดิษฐานไว้ที่อุโบสถวัดโบสถ์บน
เพื่อตรึกระลึกนึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันบรรลุธรรม
และเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาต่อพระมงคลเทพมุนี ที่นำเอาวิชชาธรรมกายกลับคืนมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง
Cr.พระมหาวุฒิชัย วุฑฺฒิชโย ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๔๘
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘
คลิกอ่าน DOU ความรู้สากลของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ตามรอยมหาปูชนียาจารย์
อภิชาตบุตรของพ่อแม่
|
คลิกอ่าน DOU ความรู้สากลของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ตามรอยมหาปูชนียาจารย์
อภิชาตบุตรของพ่อแม่
วัดโบสถ์บน สถานที่บรรลุวิชชาธรรมกายของพระผู้ปราบมาร
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:10
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: