คุณสมบัติของผู้บวชในพระพุทธศาสนา
ในช่วงฤดูร้อนของทุกปีจะมีโครงการบรรพชาและอุปสมบทหมู่ภาคฤดูร้อนทั่วประเทศ
ซึ่งเป็นโอกาสที่เหล่ากุลบุตรจะได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ธรรมะและปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต
และเพื่อการเป็นพุทธบริษัท ๔ ที่ดี แต่การที่กุลบุตรจะบวชในพระพุทธศาสนาได้นั้น
นอกจากจะต้องมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาแล้ว
ยังจะต้องมีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงให้หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกกุลบุตรที่จะบวชไว้หลายประการ
เพื่อให้การบวชเกิดประโยชน์แก่ผู้บวชและเป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดพระพุทธศาสนา
ดังนั้นเพื่อให้การทำหน้าที่ของยอดกัลยาณมิตรทุกคนที่กำลังไปเชิญชวนชายแมน ๆ
มาบวชในภาคฤดูร้อนนี้เป็นไปอย่างเหมาะสมและได้บุญกันอย่างเต็มที่ จึงขอนำคุณสมบัติของผู้บวชในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงให้หลักการเอาไว้
มาเป็นแนวทางในการคัดกรองกุลบุตรผู้มีศรัทธาเพื่อการบวชอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยทั้งในการบวชเป็นสามเณรที่เรียกว่า
“บรรพชา” และการบวชเป็นพระภิกษุที่เรียกว่า
“อุปสมบท” โดยผู้ที่บรรพชาและอุปสมบทต้องมีคุณสมบัติที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้
ดังนี้
๑) บุคคลผู้ถูกห้ามอุปสมบทโดยเด็ดขาด
ผู้ถูกห้ามอุปสมบทโดยเด็ดขาดมีอยู่ ๓ ประเภท คือ ผู้ที่มีเพศและภาวะบกพร่อง
ผู้ที่เคยทำอนันตริยกรรม ๕ อย่าง และผู้ที่ทำผิดต่อพระพุทธศาสนา
หากคณะสงฆ์ให้อุปสมบทไปโดยที่ไม่รู้ เมื่อทราบภายหลังจะต้องให้ลาสิกขา
การห้ามอุปสมบทในที่นี้รวมถึงการห้ามบรรพชาเป็นสามเณรด้วย
ประเภทที่ ๑ ผู้ที่มีเพศและภาวะบกพร่อง
๑)
บัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทย
๒)
อุภโตพยัญชนก หมายถึง คนที่มีอวัยวะเพศ ๒ เพศ คือ
มีทั้งเพศหญิงและเพศชายในคนเดียวกัน
๓)
สัตว์ดิรัจฉาน
ประเภทที่ ๒ ผู้ที่เคยทำอนันตริยกรรม
๑)
ผู้ที่ฆ่าบิดา
๒)
ผู้ที่ฆ่ามารดา
๓)
ผู้ที่ฆ่าพระอรหันต์
๔)
ผู้ที่ทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต
๕)
ผู้ที่ทำสังฆเภทคือทำสงฆ์ให้แตกกัน
ประเภทที่ ๓ ผู้ที่ทำผิดต่อพระพุทธศาสนา
๑)
ผู้ที่เคยต้องอาบัติปาราชิก หมายถึง
ผู้ที่เคยบวชแล้วแต่ทำผิดร้ายแรงถึงระดับที่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ
บุคคลประเภทนี้จะกลับมาบวชอีกไม่ได้
๒)
ผู้ที่ประทุษร้ายภิกษุณี
๓)
คนลักเพศ หมายถึง ปลอมบวช คือ เอาผ้าเหลืองมาห่มเองโดยไม่มีพระอุปัชฌาย์
๔) ผู้ที่ไปเข้ารีตเดียรถีย์ หมายถึง
พระภิกษุ-สามเณรที่เปลี่ยนไปเป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา จะกลับมาบวชไม่ได้
๒) ผู้ที่ไม่ควรได้รับการอุปสมบท
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงผู้ที่ไม่ควรได้รับการอุปสมบทไว้ ๒๐ ประการ
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทแรก ได้แก่
ผู้ที่ไม่มีพระอุปัชฌาย์หรือผู้ที่พระอุปัชฌาย์มีปัญหา เช่น พระอุปัชฌาย์เป็นกะเทย,
ไปเข้ารีตเดียรถีย์, พระอุปัชฌาย์เป็นอุภโตพยัญชนก เป็นลักเพศ
ประเภทที่สอง ได้แก่ ผู้ที่ไม่มีบริขารเป็นของตนเอง คือ
ไม่มีบาตรและจีวร บุคคลเหล่านี้ไม่ควรให้บวช หากภิกษุรูปใดบวชให้จะต้องอาบัติทุกกฎ1
แต่เมื่อใดบุคคลเหล่านี้สามารถหาพระอุปัชฌาย์ที่เหมาะสมได้และหาบริขารได้แล้วก็สามารถอุปสมบทได้
๓) ผู้ที่ไม่ควรได้รับการบรรพชา
ผู้ที่ไม่ควรได้รับการบรรพชานั้นถือว่าเป็นผู้ไม่ควรได้รับการอุปสมบทด้วย
เพราะอุปสมบทกรรมเป็นพิธีที่ต้องผ่านการบรรพชามาก่อน
บุคคลที่ไม่ควรได้รับการบรรพชาแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ
ผู้ที่มีพันธะและผู้ทำผิดกฎหมาย, ผู้พิการหรือมีอวัยวะไม่สมบูรณ์,
ผู้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง
ประเภทที่ ๑ ผู้ที่มีพันธะและผู้ทำผิดกฎหมาย ได้แก่ มารดาบิดาไม่อนุญาต
มีหนี้สินเป็นทาส ข้าราชการที่ไม่ได้รับอนุญาต โจรผู้ร้าย คนที่ถูกออกหมายจับ
เป็นต้น
ประเภทที่ ๒ ผู้พิการหรือมีอวัยวะไม่สมบูรณ์ ได้แก่ มือเท้าด้วน หูขาด
นิ้วขาด เอ็นขาด จมูกแหว่ง นิ้วติดกันเป็นแผ่น ตาบอด ใบ้ หูหนวก ง่อย เปลี้ย คอพอก
ค่อม เตี้ยเกินไป เท้าปุก ชรา ทุพพลภาพ รูปร่างไม่สมประกอบ คนกระจอกคือฝ่าเท้าไม่ดีต้องเดินเขย่ง
เป็นต้น
ประเภทที่ ๓
ผู้ที่ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง ได้แก่ โรคอัมพาต โรคเรื้อรัง โรคเรื้อน โรคฝี
โรคกลาก โรคลมบ้าหมู โรคมองคร่อ (โรคที่มีเสมหะแห้งอยู่ในก้านหลอดลม)
โรคเหล่านี้ถือว่าเป็นโรคร้ายแรงในสมัยพุทธกาล ผู้ที่ป่วยจึงไม่ควรที่จะเข้ามาบวช
แต่ในปัจจุบันมีโรคร้ายแรงต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น โรคเอดส์เป็นต้น
ผู้ป่วยโรคนี้ก็ไม่ควรให้บวชเช่นกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
หากพระอุปัชฌาย์ท่านใดให้บุคคลเหล่านี้บรรพชาจะต้องอาบัติทุกกฎ2
แต่ทั้งนี้ก็ไม่มีหลักฐานปรากฏว่า
พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้บุคคลที่ได้รับการบวชแล้วลาสิกขาแต่อย่างใด ในอรรถกถาบางแห่งกล่าวไว้ว่า
หากสงฆ์ให้บุคคลเหล่านี้บวชแล้ว “ก็เป็นอันอุปสมบทด้วยดี”3
บุคคลดังกล่าวหากได้บวชแล้วจะสามารถดำรงเพศบรรพชิตอยู่ได้หรือไม่จึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสงฆ์ในแต่ละวัด
ถ้าหากข้อบกพร่องมีไม่มากก็คงให้บวชอยู่ได้ แต่ถ้าเห็นว่าหากให้บวชอยู่ต่อไปจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ก็ควรให้ลาสิกขาไป
จะเห็นว่าระบบระเบียบการคัดคนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานั้นระบุไว้อย่างละเอียดชัดเจนมาก
จึงเป็นเครื่องชี้วัดว่า ผู้ที่จะมาบวชได้จะต้องมีความสมบูรณ์พร้อมจริง ๆ
ทั้งเรื่องบุคลิกภาพและความประพฤติ ต้องเป็นคนที่สั่งสมบุญมาอย่างดีแล้ว
มาบวชเพื่อหวังทำพระนิพพานให้แจ้งอย่างแท้จริง และจะได้เป็นที่พึ่งให้พระศาสนาได้
ไม่ได้มาบวชเพื่อหวังพึ่งพระศาสนา
ดังนั้น ในการไปทำหน้าที่ชวนชายแมน ๆ มาบวช
ก็อย่าลืมช่วยกันพิจารณาคุณสมบัติของผู้บวชแทนพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ด้วย
เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระ
และไม่ทำให้เสียความตั้งใจในการทำหน้าที่กัลยาณมิตรถ้าหากผู้ที่ชวนมาบวชไม่ผ่านคุณสมบัติของการบวช
1พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑, มก.
เล่ม ๖ ข้อ ๑๓๓ หน้า ๓๓๕-๓๓๖.
2พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑, มก.
เล่ม ๖ ข้อ ๑๓๕ หน้า ๓๔๐.
3สมันตปาสาทิก อรรถกถาพระวินัยปิฎก
มหาวรรค มก. เล่ม ๖ หน้า ๓๕๐.
ข้อมูลจาก GB 101
ความรู้พื้นฐานทางพระพุทธศาสนา
Cr. พระมหาวุฒิชัย วุฑฺฒิชโย ป.ธ.๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๖๒ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙
คลิกอ่าน DOU ความรู้สากลของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
แนวคิดในการสร้างวัดพระธรรมกาย (ปีก่อนหน้า)
บริหารเวลาด้วยกาลัญญู
มาฆบูชามหาสมาคม
ท่าทีต่อสงฆ์ในยุคปัจจุบัน
กลวิธีแก้ไขความผันแปรของสภาพอากาศโลก
|
คลิกอ่าน DOU ความรู้สากลของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
แนวคิดในการสร้างวัดพระธรรมกาย (ปีก่อนหน้า)
บริหารเวลาด้วยกาลัญญู
มาฆบูชามหาสมาคม
ท่าทีต่อสงฆ์ในยุคปัจจุบัน
กลวิธีแก้ไขความผันแปรของสภาพอากาศโลก
จิตเกษมในยุคชาวศิวิไลซ์ (ปีถัดไป)
คุณสมบัติของผู้บวชในพระพุทธศาสนา
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:13
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: