วันวิสาขบูชา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗


วันวิสาขบูชา ชาวพุทธทั้งหลายถือว่าเป็นวันสําคัญอย่างยิ่ง เป็นวันแสงสว่างของโลก จนกระทั่ง สหประชาชาติให้ความสําคัญว่า วันนี้เป็นวันสําคัญของโลกวันหนึ่งทีเดียว ทั้งๆ ที่เขายังไม่ค่อยเข้าใจอะไร ก็ยังให้วันนี้เป็นวันสําคัญ เราชาวพุทธเป็นพุทธศาสนิกชน จะต้องให้ความสําคัญในวันนี้ให้มากๆ แต่ว่าวันวิสาขบูชาของแต่ละนิกายยังไม่ตรงกัน แต่ละนิกายหมายถึง มหายาน เถรวาท และวัชรยาน ซึ่งมีความเห็นยังไม่ลงรอยกันว่าวันวิสาขบูชาตรงกับวันไหน แต่ก็มีความเห็นที่ลงรอยกันว่า เป็นวันที่สําคัญ คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน จึงได้จัดพิธีวิสาขบูชาในวันที่แตกต่างกันไป ยกเว้นชาวพุทธในประเทศไทยที่ยังถือเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา

วันนี้เป็นวันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นด้วยกายเนื้อ ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นวันที่ดับขันธปรินิพพานมาตรงกัน เป็นวันเดียวที่อัศจรรย์ยิ่ง ของเรายังถือกันอยู่ว่าเป็นวันสําคัญ และวันนี้เป็นวันที่เราจะต้องเจริญพุทธานุสติ คือทุกลมหายใจเข้าออก ให้มีแต่เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ใจระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ โดยบทสวดมนต์อย่างนั้นก็ได้ หรือเท่าที่เราเข้าใจง่ายๆ ก็ได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุคคลสําคัญของโลกของจักรวาลอย่างไร ท่านเกิดที่ไหน ตรัสรู้ที่ใหน ดับขันธปรินิพพานที่ไหน และระหว่างที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ตรัสสั่งสอนเผยแผ่ธรรมะ ๔๕ พรรษา ท่านทําอย่างไร สอนเรื่องอะไรบ้าง เป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนจะต้องทบทวนระลึกนึกถึงท่าน จิตที่ขุ่นมัวจะผ่องใส จิตที่ผ่องใสแล้วก็จะผ่องใสยิ่งขึ้น สว่างไสวไปเรื่อยๆ เป็นทางมาแห่งบุญกุศล และมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะปฏิบัติบูชาถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาท่านด้วยการปฏิบัติ ไม่ส่งใจไปที่อื่น เอาใจมาอยู่ที่พระพุทธเจ้าของเรา

อะไรคือพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็ให้นัยเอาไว้ว่า ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ ตถาคต คือ ธรรมกายนั่นเอง "ธรรมกาย" คือพระตถาคต ท่านหมายเอาลึกซึ้งถึงธรรมกาย มิได้หมายถึง รูปกายของท่าน

เพราะฉะนั้น เวลาที่เมื่อท่านตอบคําถามของพราหมณ์ ซึ่งเห็นฉัพพรรณรังสีสว่างมาจากพระวรกาย

พราหมณ์ถามว่า “พระองค์เป็นมนุษย์หรือเปล่า?
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่ได้เป็นมนุษย์
พราหมณ์ก็ถามว่า “เป็นอมนุษย์หรือเปล่า?”
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่ได้เป็นอมนุษย์
พราหมณ์ก็ถามว่า “เป็นเทวดาหรือเปล่า?
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่ได้เป็นเทวดา”
พราหมณ์ก็ถามว่า “เป็นพรหมหรือเปล่า?
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่ได้เป็น”
พราหมณ์ก็ถามอีกว่า “แล้วท่านเป็นอะไร?
พระพุทธองค์ตรัสว่า “เป็นธรรมกาย ธรรมกายไม่ใช่ทั้งมนุษย์ ไม่ใช่อมนุษย์ ไม่ใช่เทวดา พรหม หรือ อรูปพรหม ธรรมกายก็คือธรรมกาย เป็นกายแห่งความบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ธาตุล้วนๆ ธรรมล้วนๆ ไม่มีกิเลสเจือปนเลย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ผู้พ้นแล้ว ผู้ชนะแล้วจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย

ท่านบอกว่า ท่านคือธรรมกาย เพราะฉะนั้น ท่านเป็นธรรมกายจริงๆ เป็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นๆ ถอนๆ เมื่อหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ สังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูงแล้ว หลุดไปทีเดียว ไปเป็นอันหนึ่งอันเดียว ไปเป็นกายธรรม อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นตลอด ไม่มีหลุด ไม่มีถอนถอย ติตอย่างนั้นตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ท่านก็ยืนยันกับพราหมณ์ว่าเป็นอย่างนั้น

วันนี้เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ให้ได้สมบูรณ์ ก็จะต้องทําใจหยุดนิ่งให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้ แล้วจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยว่า ทําไมพระบรมศาสดาถึงได้ตรัสว่า พระตถาคตคือธรรมกาย หรือพูดง่ายๆ ว่า เราคือธรรมกาย ธรรมกายคือเรา เราจะเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตัวของเราเอง เมื่อเราเข้าถึงธรรมกาย หลุดพ้นได้ เราก็เป็นอนุพุทธะ คือ เข้าถึงธรรมกายตามคำแนะนําสั่งสอนของพระองค์ท่าน

ในการปฏิบัติธรรม ถ้าพูดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภายนอกที่เข้าใจกันนั้น เราเคยได้ยินได้ฟังว่าท่านประสูติที่หนึ่ง ตรัสรู้ก็อีกที่หนึ่ง ดับขันธปรินิพพานอีกที่หนึ่ง คนละที่กัน แต่ในแง่ของการปฏิบัติ อัศจรรย์อย่างยิ่ง ประสูติ ตรัสรู้ ดับขันธปรินิพพานที่เดียวกัน คือตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗

คือเวลาเมื่อท่านได้ถูกอัญเชิญมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต กายทิพย์ก็เข้าสู่พระราชบิดาทางปากช่องจมูก แล้วก็เลื่อนเรื่อยไปเลย ไปที่หัวตา ไปที่กลางกั๊กศีรษะ ไปที่เพดานปาก ไปที่ช่องปากที่อาหารสําลัก ไปที่กึ่งกลางกายระดับเดียวกับสะดือ แล้วก็ถอยหลังขึ้นมาสองนิ้วมือ ตรงฐานที่ ๗ ของพระราชบิดา แล้วกายทิพย์ก็เคลื่อนจากพระราชบิดาเข้าสู่พระพุทธมารดา ทางปากช่องจมูกตามลําดับในทํานองเดียวกัน แล้วก็ไปหยุดนิ่งๆ อยู่ตรงฐานที่ ๗ จนกระทั่งก่อเกิดเป็นก้อนกายมหาบุรุษ ท่านเกิดที่ฐานที่ ๗ ตรงนั้นแหละ

เวลาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ภายหลังจากที่เอาชนะพญามารกับเสนามารได้ ท่านก็หยุดนิ่งอยู่ภายใน ใจหยุดใจนิ่งตรงฐานที่ ๗ ในตัวของท่าน หยุดไปเรื่อยๆ ก็เข้าถึงแผนผังชีวิตภายใน เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วก็ได้บรรลุธรรมกายอรหัต บรรลุธรรมกายอรหัต เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในยามรุ่งอรุณ และแสงเงินแสงทองจับท้องฟ้าท่านก็เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นตรงฐานที่ ๗ ขจัดกิเลสอาสวะจนกระทั่งสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ คือกิเลสอาสวะที่อยู่ในตัว ที่จะบังคับบัญชาพระองค์ได้ก็หมดสิ้นไป จิตก็หลุดพ้นจากการบังคับบัญชาของพญามาร เป็นตนตัวจริงแท้ๆ ของท่าน เป็นอิสระ มีแต่สุขล้วนๆ เป็นนิรันดร์ บังเกิดขึ้น

หลังจากที่ได้เผยแผ่คําสอนของพระองค์ จนกระทั่งพระศาสนาตั้งหลักได้ มีพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้น พุทธบริษัทบังเกิดขึ้น มั่นคงเข้มแข็ง ในการที่จะสอนตัวเองและแนะนําผู้อื่นได้ ก็ถึงคราวที่ท่านจะต้องดับขันธปรินิพพาน

ดับขันธปรินิพพานก็คือการถอดขันธ์ต่างๆ ออกหมด ขันธ์ ๕ ในกายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ถอดหมด เหลือแต่กายธรรม อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เข้านิโรธสมาบัติ ไม่ซ้ำสมาบัติด้วยกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงศูนย์กลางกายฐาน ที่ ๗

นิโรธะ แปลว่า หยุด ท่านก็หยุดของท่านไปเรื่อยๆ ถอดขันธ์ออกเป็นชั้นๆ แล้วหลุดไปเข้าไปสู่กายในกาย ธรรมกายในธรรมกายละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ เข้าตั้งแต่กายนิพพานเป็นในตัวของท่าน ที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เข้าไปเรื่อย

เพราะฉะนั้น ที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน อยู่ตรงที่เดียวกัน คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ทีเดียว เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาให้ได้ด้วยวิชชาธรรมกาย ใครเข้าถึงก็ศึกษาได้ก็จะเห็นกันไปอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พระบรมศาสดาของเรา ท่านเป็นเลิศจริงๆ ในการที่สามารถสั่งสอนอบรมพัฒนาจิตใจของมวลมนุษยชาติ โดยไม่ต้องบังคับให้นับถือพระองค์ท่าน แต่ให้เชื่อถือกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยการปฏิบัติตนจนกระทั่งเข้าถึง แล้วจึงจะเชื่อถือกันไป จะแตกต่างจากความเชื่ออื่นๆ ที่ต้องใช้กําลังบังคับ ต้องผูกเวรกัน ต้องจองเวรกัน

พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสเกี่ยวกับเรื่องเหตุเรื่องผลอยู่ตลอดเวลา ถ้าเหตุดับผลก็ดับ เหตุอยู่ที่กิเลสอาสวะบังคับบัญชาเอาไว้ ถ้าไปดับที่เหตุได้จนสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ผลแห่งความทุกข์ทรมานที่เริ่มต้นจากการเกิด ก็มีแก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ทรมาน สารพัดที่ตามมาก็จะดับสลายไป เป็นคําสอนที่อัศจรรย์

สิ่งแรกที่สอนก็คือ ให้รู้จักว่าชีวิตที่อยู่ในโลกนี้เป็นทุกข์ บางคนอยู่เสียจนชิน ไม่ได้คิดว่าทุกข์หรือไม่ทุกข์ แต่ท่านชี้ว่านี่ทุกข์ ต้องกําหนดรู้เอาไว้ ต้องให้เข้าใจทําให้แจ่มแจ้งว่า ชีวิตเป็นทุกข์ แล้วก็ต้องให้รู้สาเหตุด้วย มาจากความอยาก ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่ประกอบด้วยความไม่รู้ ความเพลิน ทําให้เป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด มีความทุกข์ทรมาน ต้องขจัดให้หมด นี่เหตุที่จะทําให้เกิดทุกข์หรือความทะยานอยาก อยากด้วยความไม่รู้ คือดวงปัญญาไม่สมบูรณ์ ถูกอวิชชาบังคับไว้ ทําให้เป้าหมายชีวิตเบี่ยงเบน ไปแสวงหาสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ท่านให้ลด ให้ละให้เลิกไปด้วยวิธีการหยุดนั่นเอง คือ นิโรธ

นิโรธะ แปลว่า หยุด หยุดจากความอยากทั้งปวง เอาใจที่อยากกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมของใจ ที่เตลิดเปิดเปิงไปในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เอากลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม ทําหยุดทํานิ่ง ให้หยุดในหยุด หยุดในหยุดเรื่อยไปเลย หยุดนิ่งถูกส่วน มรรคก็เกิด คือเห็นเป็นดวงสว่าง และเห็นไส้กลางที่จะทําให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะที่บังคับบัญชาได้ มรรคก็เกิดขึ้นเป็นดวงใสๆ ดวงแรกเขาเรียกว่า "ปฐมมรรค" เป็นทางเบื้องต้น จุดเริ่มต้นที่ถูกต้องที่จะต้องเดินทางเข้าไปสู่ภายใน มรรคเกิดขึ้นเรื่อยไป ตั้งแต่ปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา เรื่อยไปเลยเรียงไปตามลําดับ จนกระทั่งในที่สุดก็เข้าถึงอรหัตตมรรคขจัดกิเลสขั้นสุดท้าย ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ

กิเลสมีทั้งหยาบและละเอียดบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ บังคับกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรม โคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี บังคับไว้หมด แต่ว่าละเอียดไปตามลำดับ กายละเอียด กิเลสที่ละเอียดก็ต้องบังคับไว้ ก็ต้องอาศัยความละเอียดด้วยกันจึงจะมองเห็น และเมื่ออรหัตตมรรคขจัดสิ้นหมด ก็เป็นอรหัตตผล อรหัตตผลพ้นแล้วเป็นผลที่สมบูรณ์ ที่ไม่ต้องย้อนกลับคืนไปสู่ดั้งเดิม เหมือนข้าวเปลือกกลับกลายมาเป็นข้าวสารที่งอกไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นต้องสอนมาตามลำดับเลย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้รู้ว่าชีวิตเป็นทุกข์ พื้นฐานชีวิตเป็นทุกข์จริงๆ ทุกข์เกิดจากอะไร อะไรเป็นสาเหตุ และจะหลุดได้ด้วยวิธีการหยุดกับนิ่งคือนิโรธะ พอถูกส่วนก็เป็นมรรค

มรรคมีองค์ ๘ ประชุมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน พอดำเนินจิตไปก็จะเห็นศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในนั้นเรื่อยไปเลย ด้วยวิธีหยุด วิธีนิ่งอย่างนี้แหละ อย่างที่เรากําลังเรียนรู้กันอยู่ กำลังปฏิบัติให้เข้าถึง นี่เป็นสิ่งสําคัญทีเดียวที่เราจะต้องทําให้ดี ให้เป็น ให้เกิดขึ้นได้ในวันนี้ การฏิบัติของเราในวันนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธบูชาอย่างสมบูรณ์อย่างแท้จริง คือให้เห็นเรียงไปตามลําดับ ตั้งแต่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดังกล่าวแล้วนั่นแหละ กระทั่งเห็นมรรคเป็นดวงใสๆ ติดอยู่ในกลางกาย แล้วก็ดำเนินจิต หยุดในหยุด หยุดในหยุด เรื่อยไปเลย ไปตามลำดับอย่างนี้...


วันจันทร์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
(วันวิสาขบูชา)

เรื่อง : พระธรรมเทศนาหลวงพ่อธัมมชโย
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๗ ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***

คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ PDF
https://drive.google.com/file/d/1kd721vHUSOp4q4QOZdd5tSyuC-DKENE2/view

คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญ ในรูปแบบของ E-book
http://dhammamedia.org/YNB%202546/07YNB_4605/07YNB_4605.html

คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๗ ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ที่นี่
วันวิสาขบูชา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ วันวิสาขบูชา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:45 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.