ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ พระมหาธีรราชเจ้าของชาวสยาม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นชาวไทยคนแรกที่ปฏิญาณตน
เป็นพุทธมามกะ เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระอุปัชฌาย์
เสด็จประทับจําพรรษาศึกษาพระธรรมวินัย ณ วัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลา ๑ พรรษา
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓
พระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖
แห่งราชวงศ์จักรี
ด้วยประสบการณ์ที่ทรงศึกษาอยู่ในทวีปยุโรปนานถึง
๙ ปี ทรงมีมโนปณิธานมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ
ในขณะเดียวกันยังคงรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชาติและพระพุทธศาสนา พระราชกรณียกิจสำคัญหลายประการที่พระองค์ทรงริเริ่มไว้ยังเป็นคุณูปการต่อชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ดังเช่น การประกาศใช้ “พุทธศักราช” เป็นศักราชทางราชการแทนการใช้รัตนโกสินทร์ศก เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ด้วยทรงเห็นว่า
คริสต์ศาสนิกชนใช้คริสต์ศักราช (ค.ศ.) ในประเทศตะวันตก
ดังนั้นพุทธศาสนิกชนในแผ่นดินสยามจึงควรใช้ศักราชที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา
เพื่อแสดงถึงความผูกพันระหว่างพระพุทธศาสนาและชาวสยามที่มีมาอย่างช้านาน
และเป็นการประกาศให้ทั่วโลกทราบด้วยว่า ประเทศสยามเป็นเมืองพุทธที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะเป็นประมุข
ดังพระราชดำริว่า
“...ศักราชรัตนโกสินทร์ที่ใช้อยู่ในราชการเดี๋ยวนี้
มีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ คือเปนศักราชที่สั้นนัก จะกล่าวถึงเหตุการณ์ใด ๆ ในอดีตภาคก็ขัดข้อง
ด้วยว่าพอกล่าวถึงเรื่องราวที่ก่อนสร้างกรุงขึ้นไปแล้ว
ก็ต้องหันไปใช้จุลศักราชบ้าง มหาศักราชบ้างและข้างในวัดใช้พุทธศักราช
ฝ่ายคนไทยสมัยที่อยากจะกล่าวถึงเหตุการณ์อันมีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นี้
ก็มักหันไปใช้คฤสตศักราช ซึ่งดูเปนการเสียรัศมีอยู่
จึงเห็นว่าควรใช้พุทธศักราช จะเหมาะดีด้วยประการทั้งปวง
เปนศักราชที่คนไทยเราซึมทราบดีอยู่แล้ว ทั้งในประกาศใช้พุทธศักราชอยู่แล้ว
และอีกประการ ๑ ในเวลานี้ก็มีแต่เมืองเดียวที่มีพระเจ้าแผ่นดินถือพระพุทธศาสนา...”
ที่มา..หอจดหมายเหตุ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่
๕ โปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระไตรปิฎกบาลีด้วยอักษรไทยพระราชทานทั้งในและต่างประเทศ
มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า องค์สกลมหาสังฆปริณายกในเวลานั้น
ให้ทรงเป็นแม่กองชำระคัมภีร์อรรถกถา แล้วทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้จัดพิมพ์อรรถกถาพระไตรปิฎกเป็นเล่มสมุดพระราชทานในราชอาณาจักร
๒๐๐ จบ และพระราชทานในนานาประเทศ ๔๐๐
จบ
ทั้งทรงสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุ-สามเณร
โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่ง
เรียกว่า “นักธรรม” และให้เปลี่ยนการสอบบาลีสนามหลวงจากการสอบปากเปล่ามาเป็นการสอบด้วยวิธีเขียน
และให้การเลิกสอบเปรียญตรี โท เอก มาเป็นสอบบาลีตั้งแต่ประโยค ๑-๙
ซึ่งเป็นระบบที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนด้านการศึกษาของกุลบุตร
พระองค์ทรงเปลี่ยนคตินิยมการสร้างวัดประจำรัชกาลตามราชประเพณีเดิมมาเป็นการสร้างโรงเรียนแทน
เพราะทรงเล็งเห็นว่าวัดต่าง ๆ ซึ่งสร้างในรัชกาลก่อนมีจำนวนมากเกินกำลังจะทำนุบำรุงดูแลให้ทั่วถึง
ประกอบกับการศึกษาและสถานศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ
จึงมิได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเพิ่มเติม
แต่เปลี่ยนมาสร้างโรงเรียนแทน โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยจึงเปรียบเสมือนวัดประจำรัชกาลของพระองค์
อาคารหลายหลังภายในโรงเรียนจึงมีรูปทรงคล้ายโบสถ์และศาลาวัด ถึงแม้ตลอดช่วง ๑๕ ปี
แห่งรัชสมัย ทรงมิได้สร้างวัดขึ้นเพิ่มเติม
แต่ทุกปีพระองค์ทรงอุทิศพระราชทรัพย์พระราชทาน เรียกว่า “เงินพระราชอุทิศ” เพื่อใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามที่ชำรุดทรุดโทรม
อาทิเช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
และวัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม เป็นต้น
ในส่วนพระองค์เองทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถด้านการประพันธ์
ทรงปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่พสกนิกรผ่านบทพระราชนิพนธ์จำนวนมาก
มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น เทศนาเสือป่า
พระราชนิพนธ์ที่รวบรวมพระบรมราโชวาทที่ทรงให้แก่คณะเสือป่า ณ พระราชวังสนามจันทร์
ในวันประชุมไหว้พระ เป็นพระราชนิพนธ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างเด่นชัด
เนื้อหาในเรื่องทรงมุ่งเน้นถึงความจำเป็นของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
ให้ทุกคนหวงแหนและช่วยกันปกป้องเมื่อคราวศาสนามีภัย ดังความบางตอนที่กล่าวไว้ว่า
“...พระพุทธศาสนาเปนศาสนาสำหรับชาติเรา
เราจำเปนต้องถือด้วยความกตัญญู
ต่อบิดามารดา และโคตรวงศ์ของเรา จำเปนต้องถือไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อข้าพเจ้ารู้ได้แน่นอน
จึงได้กล้าลุกขึ้นยืนแสดงเทศนาทางพระพุทธศาสนาแก่ท่านทั้งหลาย
เป็นความจำเปนที่เราทั้งหลายผู้เปนไทยจะต้องมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนา
ซึ่งเปนศาสนาสำหรับชาติเรา ถ้ามีอันตรายอย่างใดมาถึงพระพุทธศาสนา
เราทั้งหลายจะเปนผู้ที่ได้รับความอับอายด้วยกันเปนอันมาก เหตุฉะนี้
เปนหน้าที่ของเราที่จะต้องตั้งใจ ที่จะรักษาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
อย่าให้มีอันตรายมาถึงได้...”
คุณูปการที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่แสดงถึงความเทิดทูนพระพุทธศาสนา
คือ ทรงคิดค้นธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติ และทรงให้ความหมายไว้ชัดว่า สีขาว
หมายถึง พระรัตนตรัย ธงไตรรงค์นี้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก
เมื่อทหารอาสาของไทยเข้าร่วมการสวนสนามฉลองชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ณ
ประเทศฝรั่งเศส แต่ธงที่เชิญไปในครั้งนั้นมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากธงไตรรงค์ปัจจุบัน
คือ ด้านหน้าเป็นรูปทรงช้างเผือก ด้านหลังเป็นตราพระปรมาภิไธยย่อ แถบบนและแถบล่างมีพุทธชัยมงคลคาถา บทแรกในท่อนสุดท้ายโปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนข้อความจาก “ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ” (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น
ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน) เป็น “ตนฺเตชสา
ภวตุ เม ชยสิทฺธินิจฺจํ” (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น
ขอชัยชนะจงมีแก่ข้าพเจ้าเสมอ) เพื่อเป็นการแสดงชัยชนะของสยามประเทศ
เมื่อเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑
พระปรีชาสามารถในด้านต่างๆของพระองค์ประกอบกับพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศนานัปการ พระองค์จึงทรงได้รับการยกย่องเทิดพระเกียรติและถวายพระราชสมัญญานามว่า
“สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” ซึ่งหมายถึง มหาราชผู้เป็นจอมปราชญ์
รัตนโกสินทร์สก (ร.ศ.)+๒๓๒๔ = พุทธศักราช (พ.ศ.) อาทิ ร.ศ. ๑๔๔ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๘ |
โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย |
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ พระมหาธีรราชเจ้าของชาวสยาม
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
19:59
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: